HoonSmart.com>>สมาคมประกันวินาศภัยไทย แนะผู้ประกอบการหันมาใช้ประกันในประเทศ บริหารความเสี่ยงจากสงคราม ภัยไซเบอร์ และอุบัติเหตุทางทะเล ได้รับความคุ้มครองถึงโกดังปลายทาง เคลมง่าย เข้าใจเงื่อนไขชัดเจน และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ คปภ. เสริมความมั่นคงให้เศรษฐกิจไทยยุคห่วงโซ่อุปทานโลกเปราะบางและแข่งขันสูง
นายจุฑาธวัช เพ็งศรี ประธานคณะกรรมการประกันภัยทางทะเลและโลจิสติกส์ สมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดเผยว่า ผู้นำเข้าและส่งออกของไทย ที่ใช้บริการขนส่งทางเรือระหว่างประเทศ ยังเผชิญความเสี่ยงด้านสงครามและภูมิรัฐศาสตร์
ทั้ง สงครามรัสเซีย-ยูเครน ความขัดแย้งอิสราเอล-ฮามาส การโจมตีเรือสินค้าในทะเลแดงและช่องแคบฮอร์มุซ
สถิติการเกิดอุบัติเหตุในระหว่างการขนส่งทางเรือจากความเสี่ยงภัยด้านอื่น ๆ ยังมีอัตราเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น
-เหตุการณ์ไฟไหม้บนเรือสินค้าทุก ๆ 2-3 สัปดาห์
-ตู้คอนเทนเนอร์ถูกซัดตกทะเลในสภาพอากาศที่เลวร้าย และ
-ภัยคุกคามทางไซเบอร์ ที่ส่งผลให้ท่าเรือในต่างประเทศต้องหยุดปฏิบัติงานไปหลายวัน
นอกจากนี้ ยังมีเหตุการณ์เรือ Dali ชนสะพานที่สหรัฐฯ ที่ตอกย้ำว่า ความเสียหายจากอุบัติเหตุเพียงครั้งเดียวสามารถก่อให้เกิดความสูญเสียมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ และทำให้ห่วงโซ่อุปทานโลกหยุดชะงักในทันที
ขณะที่ มาตรการภาษีและการกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับคู่ค้าทั่วโลก โดยเฉพาะมาตรการ “ทรัมป์ 2.0” ส่งผลให้ผู้ประกอบการจำนวนมากจำเป็นต้องเร่งปรับตัว ทั้งการเคลื่อนย้ายสินค้า เปลี่ยนเส้นทางการเดินเรือ หรือเปลี่ยนท่าเรือปลายทาง (Port Switching) เพื่อลดการพึ่งพาการค้ากับสหรัฐอเมริกา
ก่อให้เกิด การดำเนินกลยุทธ์เปลี่ยนถิ่นกำเนิดสินค้า (Change Origin) เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากมาตรการภาษีและข้อจำกัดทางการค้าระหว่างประเทศ
ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ “การทำประกันภัยสินค้ากับบริษัทประกันภัยในประเทศ โดยเฉพาะการนำเข้าสินค้า” จึงเป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงที่สำคัญของผู้ประกอบการไทย โดยมีข้อได้เปรียบ ประกอบด้วย
1. ได้รับความคุ้มครองต่อเนื่องจนถึงโกดังปลายทาง ลด “ช่องว่างของความคุ้มครอง” ที่กรมธรรม์ประกันภัยต่างประเทศมักสิ้นสุดเพียงท่าเรือ
2. มีอำนาจต่อรองในเรื่องเบี้ยประกันภัย เงื่อนไขความคุ้มครอง และมาตรฐานการพิจารณาสินไหมทดแทน ทำให้ทราบและเข้าใจเงื่อนไขความคุ้มครองของการขนส่งเที่ยวนั้น ๆ ล่วงหน้า ไม่ต้องกังวลว่ากรมธรรม์ประกันภัยที่แนบมากับผู้ขายในต่างประเทศจะคุ้มครองตรงตามความเสี่ยงภัยที่ผู้ประกอบการต้องการหรือไม่
3. มีขั้นตอนการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนที่ชัดเจน ติดต่อสื่อสารง่ายในภาษาไทย และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน คปภ.
4. สนับสนุนอุตสาหกรรมประกันภัยไทยให้เข้มแข็ง สามารถยืนหยัดควบคู่ไปกับผู้ประกอบการในสภาวะการแข่งขันอย่างเข้มข้นในระดับโลก
“การทำประกันภัยสินค้ากับบริษัทประกันภัยในประเทศ ไม่เพียงเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงของผู้ประกอบการจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด หากแต่ยังเป็นกลไกเชิงยุทธศาสตร์ในการสนับสนุนความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจไทยท่ามกลางความไม่แน่นอนของภูมิรัฐศาสตร์และการค้าโลก การสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง และการเลือกใช้ประกันภัยอย่างเหมาะสม จะเป็นเกราะป้องกันที่ช่วยเสริมความมั่นคงแก่ธุรกิจไทย และเพิ่มพลังการแข่งขันให้เศรษฐกิจไทยแข็งแกร่งบนเวทีโลก”นายจุฑาธวัช กล่าว
นายจุฑาธวัช กล่าวว่า ปัจจุบันผู้นำเข้า ซื้อประกันขนส่งสินค้าทางเรือ จากประเทศถิ่นกำเนิดสินค้า เมื่อเกิดความเสียหาย บางรายได้รับค่าสินไหมไม่ครบ ต้องฟ้องร้อง ทำให้เสียค่าใช้จ่ายในการฟ้องร้องข้ามประเทศ บางรายยอมรับค่าสินไหมไม่เต็ม
จากข้อมูลของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระบุว่า มูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยในไตรมาสที่ 2/2568 อยู่ที่ 84,171 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (จำนวนประมาณ 2.79 ล้านล้านบาท) ขยายตัว 15.0%
ขณะที่มูลค่าการนำเข้าสินค้าเท่ากับ 78,883 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (จำนวนประมาณ 2.61 ล้านล้านบาท) ขยายตัว 16.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า สะท้อนถึงผลกระทบจากมาตรการภาษีตอบโต้ที่ผลักดันให้เกิดการนำเข้าสินค้าล่วงหน้า (Front Loading)
แต่การเติบโตของเบี้ยประกันภัยสินค้าในไตรมาสที่ 2/2568 ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกัน กลับหดตัวลง 4.3% แสดงให้เห็นถึงความไม่สัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญ การเติบโตของมูลค่านำเข้า-ส่งออกสินค้าที่ปรากฏอาจไม่สะท้อนถึงอุปสงค์การค้าจริงของประเทศไทย
