กรุงศรี ทุ่มงบลงทุนเทคโนโลยีหมื่นล้านบาท ปักธงธนาคารระดับภูมิภาคเพื่อความยั่งยืน

HoonSmart.com>>กรุงศรี ทุ่มงบลงทุนเทคโนโลยี 10,000 ล้านบาทต่อเนื่อง เดินหน้าวางรากฐาน Core Banking ใหม่ผ่านโครงการ Jupiter -แพลตฟอร์มดิจิทัล เปลี่ยนผ่านองค์กรสู่ยุคนวัตกรรมบริการทางการเงิน เพิ่มความคล่องตัว ความปลอดภัย คุ้มค่า ให้กับธุรกิจ-สังคม-ผู้คน ก้าวสู่การเป็นธนาคารชั้นนำแห่งภูมิภาคเพื่อความยั่งยืน จับมือพันธมิตรสายเทคชั้นนำโชว์เทคและนวัตกรรมพร้อมใช้งานปีที่ 4

นายเคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) หรือ กรุงศรี กล่าวเปิดงาน “Krungsri Tech Day 2025” ว่า การลงทุนในเทคโนโลยีและขีดความสามารถดิจิทัลที่ล้ำสมัยมีเป้าหมายเพื่อ ยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า เน้นความเรียบง่าย เพิ่มประสิทธิภาพด้านการให้บริการ ช่วยภาคธุรกิจให้ทำงานได้ง่ายขึ้น ลดขั้นตอน ช่วยแก้ปัญหา เสริมสร้างความปลอดภัยและเพิ่มความไว้วางใจ

“ในวาระครบรอบ 80 ปี ในปี 2568 ธนาคารยังคงเดินหน้าลงทุนในเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และต้องการให้เป็นพลังด้านบวก ในการเปลี่ยนแปลงทางความคิด วัฒนธรรมองค์กร ครอบคลุมทั้งลูกค้า ธุรกิจ และสังคม สนับสนุนธุรกิจและชุมชนให้เติบโตไปด้วยกัน เพื่อก้าวสู่การเป็นธนาคารชั้นนำแห่งภูมิภาคเพื่อความยั่งยืน”นายเคนอิจิ กล่าว

ก่อนหน้านี้ กรุงศรี ได้ประกาศแผนระยะกลางที่เริ่มตั้งแต่ปี 2567-2569 ไว้ว่าในปี 2569 ต้องการที่จะเป็นธนาคารระดับภูมิภาคที่ยั่งยืน ในช่วงที่ผ่านจึงเร่งขยายธุรกิจในประเทศอาเซียน ผ่านเครือข่ายของ MUFG เน้นการให้บริการลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศผ่านโซลูชันดิจิทัลและนวัตกรรมทางการเงิน การเป็นพันธมิตรหลักของบริษัทญี่ปุ่นในภูมิภาค และการลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตและสนับสนุนธุรกิจนวัตกรรม

เริ่มทำการเปลี่ยนผ่านกระบวนการทำงานเข้าสู่ระบบดิจิทัล ตั้งแต่ปี 2565 โดยได้ลงทุนวางรากฐานระบบ Core Banking ใหม่ ที่ใช้ชื่อโครงการว่า Jupiter เป็นธงนำ รวมถึงการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัล ปรับระบบโมบายแบงก์กิ้ง ระบบวิเคราะห์ข้อมูล ควบคู่กับการลงทุนในระบบความปลอดภัยทางไซเบอร์ และเป็นปีที่ธนาคารเริ่มจัดงาน Krungsri Tech Day เป็นปีแรก เพื่อโชว์วิสัยทัศน์ในการขับเคลื่อนนวัตกรรมด้านไอทีและดิจิทัล และปี 2568 เป็นการจัดงาน Krungsri Tech Day 2025:Empower People to Make Life Simple เป็นปีที่ 4

ที่ผ่านมา ธนาคารไม่ได้แยกงบลงทุนทางด้านเทคโนโลยีออกมาต่างหาก แต่ถูกรวมอยู่ในบัญชีค่าใช้จ่ายอื่น (Other Expenses)ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับจากปี 2565 โดยอยู่ที่ประมาณ 16,943 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 15,000 ล้านบาท ปี 2566 อยู่ที่ 17,786 ล้านบาท ปี 2567 อยู่ที่ 18,928 ล้านบาท และ 6 เดือนแรกของปี 2568 ค่าใช้จ่ายอื่นรวมถึงค่าใช้จ่ายด้านเทคโนโลยีอยู่ที่ 8,969 ล้านบาทเริ่มชะลอตัวลง 3.5% จากงวดเดียวกันของปีก่อน

ส่องกลยุทธ์ 4 แม่ทัพสร้างประสบการณ์ลูกค้าผ่านเทคโนโลยี

น.ส.สายสุนีย์ หาญประเทืองศิลป์ ประธานกลุ่มสนับสนุนธุรกิจด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและดิจิทัล ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่าปี 2568 มีการตั้งงบลงทุนในเทคโนโลยีราวๆ 10,000 ล้านบาท ส่วนที่ต้องใช้เงินลงทุนมากจะเป็น โครงการว่า Jupiter และด้านข้อมูล หรือ ดาต้า ที่ถือว่าเป็นน้ำมันตัวใหม่ ส่วนงบลงทุนปี 2569 ยังอยู่ระหว่างการจัดทำ OP Planning ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในอีก 3 สัปดาห์ข้างหน้า

การปรับโครงสร้างทางเทคโนโลยี เน้นให้มีความยืดหยุ่น เกิดความคล่องตัวในการทำงาน ของพนักงาน ให้พร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงโลกธุรกิจในอนาคต ขณะเดียวกัน ได้ร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำในการสร้างนวัตกรรมที่ใช้ประโยชน์ได้จริงและตอบโจทย์ลูกค้า และมีการตั้งหน่วยงานพัฒนาการใช้ AI เพื่อให้นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างมีจริยธรรม และส่งเสริมเศรษฐกิจและสังคมให้เติบโตอย่างยั่งยืน

“การปรับกระบวนการทำงานสู่ดิจิทัล เรามีการลดพนักงานบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการโยกย้ายพนักงานไปในแผนกอื่นๆ ที่ต้องใช้คนเพิ่ม ซึ่งเป็นวัฒนธรรมปกติของกรุงศรี กับ MUFG ที่มีการสนับสนุนการโยกย้ายงาน (Rotation) เพียงแค่ยกมือขึ้น ก็สามารถเข้าสู่กระบวนการนั้นได้ ที่เราสื่อสารคือให้พนักงานเข้าใจว่าการโยกย้ายงานนั้นจะ เกิดประโยชน์ ต่อพวกเขาอย่างไร และจะ ส่งผลกระทบ ต่อการทำงานในชีวิตประจำวันอย่างไร เพื่อให้แน่ใจว่ามีความเข้าใจที่ถูกต้อง ทำให้หลาย ๆ เรื่องสามารถจัดการได้ง่าย”น.ส.สายสุนีย์ กล่าว

น.ส.สายสุนีย์ กล่าวว่า กรณีที่ภาคธุรกิจธนาคาร เริ่มมีการลดสาขา ลดคน แล้วทดแทนด้วยตู้เอทีเอ็มแทน ซึ่งหนึ่งในนั้นมีนโยบาย White Label ATM ของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่กรุงศรี ก็กำลังติดตามอยู่ เพราะเป็นการช่วยลดต้นทุน ทำให้ประชาชนเข้าถึงง่ายขึ้น ที่ผ่านมากรุงศรีมีการโยกย้ายตู้ ATM ไปยังจุดที่มีความต้องการใช้งานจริง และต้องปลอดภัย จะเห็นว่ามีข่าวยกตู้เอทีเอ็ม ไปทั้งตู้เลย และการติดตามพฤติกรรมของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงวัยที่ยังต้องการถอนเงินจากตู้ ATM มากกว่าการใช้แอปพลิเคชันบนมือถือ และมีการให้บริการหลังบ้านด้านอื่นๆ ผ่าน ATM เช่น การอัพเดตสมุดบัญชี การฝากเงิน และบริการอื่นๆ ผ่านระบบ Open Banking ซึ่งมีให้บริการแก่พาร์ทเนอร์ที่เป็นภาคธุรกิจอยู่แล้ว

นายพชร วันรัตน์เศรษฐ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ในฐานะที่รับผิดชอบ โครงการว่า Jupiter ที่นำมาวางรากฐานระบบ Core Banking ถึงความคุ้มทุนในการลงทุนระบบดังกล่าว ว่า วัดเป็นตัวเงินค่อนข้างยาก แต่ระบบดังกล่าวมีการสร้างมูลค่าและคุณค่าให้กับทุกหน่วยธุรกิจของธนาคาร ให้สามารถทำงานพัฒนา ออกแบบ ลำพังได้ ทำให้สามารถออกผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ ๆ และช่วยนำผลิตภัณฑ์และบริการออกสู่ตลาดได้เร็วขึ้น โดยไม่ต้องวิ่งเข้ามาที่ระบบ Core Banking เหมือนในอดีต

ธนาคารมีการ ดึงหน่วยธุรกิจบริการ ออกจาก Core Banking เดิม โดยการใช้สถาปัตยกรรมแบบแยกส่วน นำมาสร้างเป็น Hub ถึง 9 ฮับ อาทิ Payment Hub,Notification Statement Hub เพื่อให้ Product User ต่าง ๆ ไม่ต้องวิ่งเข้าไปที่ Core Bank โดยตรง แต่จะถูก process เพื่อ ลดจำนวนสิ่งที่ต้องวิ่งเข้าไปใน Core ใหม่ให้น้อยที่สุด ช่วยให้การประมวลผลข้อมูลและการให้บริการสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อกับระบบหลักโดยตรง มีความปลอดภัยเพิ่มขึ้น มูลค่าและคุณค่าที่เกิดขึ้น ถูกส่งผ่านไปถึงใพันธมิตรทางธุรกิจ ลูกค้า ด้วย ทำให้เกิดความคุ้มค่าทางธุรกิจอย่างแท้จริง

ยกตัวอย่างที่จับต้องได้ ปีที่ผ่านมา Payment Hub ช่วยลูกค้าธุรกิจโรงงานน้ำตาลและเกษตรกรผู้ปลูกอ้อย สามารถขายลดเช็คเกี๊ยว/เช็คอ้อย ผ่านระบบ Payment Hub ไม่ต้องมีเอกสาร ช่วยลดต้นทุนลูกค้า ช่วยให้เกษตรกรได้รับเงินเร็วขึ้น จากเดิมต้องรอ 2 วัน เหลือเพียง 3-5 นาที

สะท้อนให้เห็น ถึงความคุ้มค่าที่เกิดขึ้นตั้งแต่จุดเริ่มต้นไปถึงปลายทาง สร้างมูลค่าทางธุรกิจตั้งแต่เริ่มลงมือ หรือ implement เป็นการวางรากฐานสำหรับอนาคต และไม่ได้จำกัดเฉพาะการให้บริการลูกค้าในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังรองรับการขยายตัวไปยังส่วนภูมิภาคอาเซียนด้วย

นายรถพร เอกบุตร ประธานเจ้าหน้าที่ด้านดิจิทัลและนวัตกรรม ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พฤติกรรมลูกค้าไม่ได้ยึดติดกับแบรนด์เดิม ธุรกิจต้องหาสูตรลับของตัวเองให้เจอ ในการให้บริการและตอบโจทย์ รับมือให้ทัน ธนาคารฯเน้นการสร้างโซลูชันทางการเงินดิจิทัลที่ครบวงจร ครอบคลุมตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐานทางการเงินเพื่อธุรกิจ จนถึงบริการทางการเงินที่เชื่อมต่อเข้ากับแพลตฟอร์มขององค์กรได้โดยตรงให้กับลูกค้าผ่าน Open API ของธนาคาร เพื่อส่งมอบประสบการณ์ Banking-as-a-Service (BaaS) เน้นเชื่อมต่อง่าย ปลอดภัย และใช้งานได้ทันที ภายใต้แนวคิด “Enabling for Growth”

“ช่วยให้ลูกค้าใช้เวลาไปกับสิ่งที่สำคัญที่สุด ลดภาระการลงทุนในระบบ ไม่ต้องพัฒนาเทคโนโลยี ที่ต้องใช้เงินลงทุนสูง และใช้เวลาในการศึกษาเรื่องกฎเกณฑ์หรือมาตรฐานต่าง ๆ เอง ทำให้เริ่มธุรกิจ และขยายธุรกิจ ได้เร็วขึ้น”นายรถพร กล่าว

นายรถพร กล่าวว่า ปัจจุบัน มีพันธมิตรกว่า 1,200 ราย และรองรับธุรกรรมทางการเงินกว่า 90 ล้านครั้งต่อปี ได้รับรางวัลกว่า 20 รางวัล สะท้อนความเชื่อมั่นในฐานะพันธมิตรทางการเงินที่ธุรกิจไว้วางใจ

บริการ BaaS ทำให้ธุรกรรมทางการเงินมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว เฉลี่ยโตประมาณ 30-40% เกือบทุกปี เป็นการยืนยันว่าช่วยผู้ประกอบการได้มาก เพราะไม่ต้องลงทุนระบบเอง เช่น การให้บริการชำระเงินแก่ผู้ประกอบการที่ขายของออนไลน์ (ลักษณะ B2B2C) รวมถึงการชำระผ่านแอปพลิเคชันกรุงศรี, QR, หรือบัตรเครดิต ทำให้เกิดความสะดวกสบาย

บริการออก EVC (Electronic Voucher/Coupon) และบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ช่วยผู้ประกอบการในช่วงเข้าร่วมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น โครงการช็อปช่วยชาติ ที่ลูกค้าได้สิทธินำค่าใช้จ่ายไปลดหย่อนภาษี เพียงเชื่อมต่อระบบกับ BaaS ของธนาคาร ผู้ประกอบการสามารถออก EVC ได้โดยตรง

“กรุงศรีนับเป็นธนาคารเพียงไม่กี่แห่งที่ให้บริการ BaaS ในลักษณะ Open API ภาพรวมของบริการ BaaS ถือว่าประสบความสำเร็จเกือบทุกตัว นอกจากออก EVC ได้แล้ว ยังมีบริการอื่น ๆ เช่น E-Invoice, E-Tax,E-Receipt และการวางบิล”นายรถพร กล่าว

นายรถพร กล่าวว่า การบูรณาการกับเทคโนโลยีและประสบการณ์ลูกค้า จะเน้นการสร้างประสบการณ์ที่ดีแ และ Journey ของลูกค้าเป็นหลัก โดยไม่ได้มองที่ช่องทาง (Channel) ใดช่องทางหนึ่งในการให้บริการเท่านั้น อาจจะผ่าน devices รูปแบบต่างๆ ด้วย และพร้อมที่จะเชื่อมต่อบริการต่าง ๆ ที่อยู่หลังบ้าน บนความปลอดภัย

นายตุลย์ โรจน์เสรี ประธานเจ้าหน้าที่ด้านงานข้อมูลและการวิเคราะห์ระดับองค์กร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวถึง งานด้านเอไอเพื่อความยั่งยืน Sustainable AI มีการจัดตั้งหน่วยงานศูนย์กลางด้าน AI (AI COE) พร้อมกรอบ AI Governance ที่เป็นรูปธรรม ครอบคลุมกระบวนการ คัดเลือกและจัดลำดับความสำคัญของ Use Case ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์องค์กร, ออกแบบและพัฒนาโมเดล ทดสอบความเสี่ยง/อคติ ดำเนินการ MLOps และวัดผล เป้าหมายคือการใช้งาน Traditional AI/ML, Generative AI และ Agentic AI อย่างเป็นระบบ โปร่งใส และสร้างคุณค่าจริงทั้งต่อธุรกิจและลูกค้า

ภายในองค์กร กรุงศรีนำ GenAI เดินคู่กับการวิเคราะห์เชิงลึก เช่น AI ประเมินมูลค่าสินทรัพย์ บนโครงสร้างข้อมูลที่ถูกกำกับดูแล เพื่อความเร็ว ความแม่นยำ และการตรวจสอบย้อนกลับที่โปร่งใส และในการพัฒนาเพื่อลูกค้า กรุงศรีมุ่งยกระดับประสบการณ์อนุมัติสินเชื่อและงานรับประกันความเสี่ยง (underwriting) ให้ปลอดภัยและราบรื่นยิ่งขึ้น ด้วยโมเดล Fraud Score พร้อมใช้โมเดล Customer Lifetime Value และ Churn Prevention เพื่อการดูแลเชิงรุกและข้อเสนอที่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้ามากขึ้น

บนรากฐานนี้ กรุงศรีได้ขยายความร่วมมือกับ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดยใช้ API ที่ปลอดภัย เป็นสะพานข้อมูลเชิงปฏิบัติการ สร้าง “ภาพเดียวกัน” ผ่านแดชบอร์ดเรียลไทม์ และยกระดับการวิเคราะห์ด้วย Machine Learning เพื่อคัดกรองพฤติกรรมต้องสงสัยเชิงรุก ช่วยลดเวลาประสานงานและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการคดีร่วมกับ CIB ทั้งหมดนี้สะท้อน Sustainable AI ที่ใช้งานได้จริง วัดผลได้ และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลที่รัดกุม สอดคล้องกับหลักจริยธรรมและเป้าหมายการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนของสังคมไทย

จับมือพันธมิตรสายเทคชั้นนำโชว์เทคและนวัตกรรมพร้อมใช้งานปีที่ 4

ทั้งนี้ Krungsri Tech Day 2025 จัดต่อเนื่องเป็นปีที่สี่ ภายใต้แนวคิด “Empower People to Make Life Simple” ซึ่งกรุงศรีได้ร่วมมือกับพันธมิตรเทคโนโลยีชั้นนำ อาทิ Accenture, AWS | OnebyZero, Cisco | OSD, HPE, IBM, Kyndryl, Dynatrace, EmbedIT, G-Able, MFEC, YIP IN TSOI | Archer, Atlassian | iZeno, Microsoft, NTT | World Line, Nutanix, Redhat, และ VMWare by Broadcom นำเสนอเทรนด์และโซลูชันนวัตกรรมล่าสุดที่ช่วยทำให้ชีวิตและการทำธุรกิจง่ายขึ้น มุ่งยกระดับความรู้และทักษะดิจิทัลผ่านกิจกรรมเวิร์กชอปและสัมมนา พร้อมแลกเปลี่ยนความคิดและประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะช่วยให้ผู้เข้าร่วมงานสามารถนำเทคโนโลยีไปประยุกต์ใช้เชิงปฏิบัติ ทั้งในธุรกิจและชีวิตประจำวัน