กนง.มติ 5 ต่อ 2 คงดอกเบี้ย1.50% โบรกฯ มองจิตวิทยาเชิงลบระยะสั้นหุ้นเช่าซื้อ-หนี้สูง

HoonSmart.com>> บอร์ดกนง.มีมติ 5 ต่อ 2 เสียง ให้คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.50%กรรมการส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับ “จังหวะเวลา” ภายใต้กระสุนมีจำกัด ปรับเพิ่มส่งออกปีนี้โต 10% จากเดิม 4% ผลกระทบภาษีสหรัฐน้อยกว่าคาด ส่วนปีหน้าหดตัว 1% ด้านเศรษฐกิจปีนี้คาดขยายตัว 2.2% ปีหน้าโตเพียง 1.6%  ด้านโบรกฯ มองคงดอกเบี้ย เป็นจิตวิทยาเชิงลบระยะสั้นต่อหุ้นกลุ่มเช่าซื้อ ,กลุ่มหนี้สูง ดีต่อธนาคาร แนะทยอยสะสมช่วงราคาอ่อนตัวเน้นกลุ่มการเงิน MTC, KTC ค้าปลีก CPALL, BJC

สักกะภพ พันธ์ยานุกูล

นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงผลการประชุม กนง. ในวันที่ 8 ต.ค.2568 คณะกรรมการฯ มีมติ 5 ต่อ 2 เสียงให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ต่อปี ทั้งนี้ 2 เสียงให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จาก 1.50% เป็น 1.25%

เศรษฐกิจในปี 2568 และ 2569 มีแนวโน้มขยายตัวใกล้เคียงกับที่เคยประเมินไว้ โดยภาคส่งออกเริ่มได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ ขณะที่การท่องเที่ยวและอุปสงค์ในประเทศมีแนวโน้มชะลอลงก่อนจะทยอยฟื้นตัวในระยะข้างหน้า ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปต่ำกว่าที่ประเมินไว้จากราคาในหมวดพลังงานและอาหารสดเป็นสำคัญ แต่ยังไม่เห็นสัญญาณการปรับลดลงของราคาสินค้าเป็นวงกว้าง ด้านสินเชื่อรวมยังหดตัวและคุณภาพสินเชื่อกลุ่มเปราะบางยังด้อยลง

คณะกรรมการฯ เห็นว่านโยบายการเงินควรอยู่ในระดับผ่อนคลายเพื่อเอื้อต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งการลดอัตราดอกเบี้ยที่ผ่านมาอยู่ระหว่างการส่งผ่านไปยังภาคเศรษฐกิจ โดยกรรมการส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับจังหวะเวลาและประสิทธิผลของนโยบายการเงินภายใต้ขีดความสามารถของนโยบายการเงิน (policy space) ที่มีจำกัด จึงเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งนี้

ขณะที่กรรมการ 2 ท่าน เห็นว่านโยบายการเงินสามารถผ่อนคลายเพิ่มเติมได้เพื่อให้ภาวะการเงินสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และมีส่วนช่วยบรรเทาปัญหาด้านสภาพคล่องและภาระหนี้ โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs และครัวเรือนกลุ่มเปราะบาง

เศรษฐกิจไทยในปี 2568 และ 2569 มีแนวโน้มขยายตัว 2.2% และ 1.6% ตามลำดับ โดยเศรษฐกิจในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ขยายตัวดีตามที่ประเมินไว้ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเร่งผลิตและส่งออกไปยังสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 และปี 2569 มีแนวโน้มชะลอลงจากผลกระทบของมาตรการภาษีสหรัฐฯ ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวจะทยอยฟื้นตัว อีกทั้งการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวได้ในระดับหนึ่งโดยได้รับแรงส่งเพิ่มเติมจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ รวมถึงการส่งออกหมวดสินค้าอิเล็กทรอนิกส์มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง

ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ เห็นควรให้ติดตามผลกระทบที่ชัดเจนของมาตรการภาษีสหรัฐฯ ความต่อเนื่องของการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ และการปรับตัวของธุรกิจ SMEs ที่ยังเผชิญปัญหาด้านการแข่งขัน การเข้าถึงสินเชื่อ และต้นทุนทางการเงิน

อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2568 และ 2569 มีแนวโน้มลดลงมาอยู่ที่ 0.0% และ 0.5% ตามลำดับ แต่คาดว่าจะทยอยกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในช่วงต้นปี 2570 โดยเงินเฟ้อที่ปรับลดลงเป็นผลจากปัจจัยด้านอุปทานเป็นสำคัญ โดยเฉพาะจากราคาน้ำมันดิบโลกและมาตรการลดราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศ รวมถึงราคาอาหารสดที่ปรับลดลงจากผลผลิตที่เพิ่มขึ้นตามสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย

ทั้งนี้ ความเสี่ยงด้านเงินฝืดยังอยู่ในระดับต่ำสะท้อนจากราคาสินค้าและบริการส่วนมากที่ยังปรับเพิ่มขึ้นหรือไม่เปลี่ยนแปลง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในปี 2568 และ 2569 อยู่ที่ 0.9% ทั้งสองปี และอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ (headline inflation expectations) ในระยะปานกลางของภาคเอกชนยังยึดเหนี่ยวในกรอบเป้าหมาย คณะกรรมการฯ เห็นควรให้ติดตามพัฒนาการของราคาสินค้าและบริการเพื่อประเมินความเสี่ยงของภาวะเงินฝืดในระยะต่อไป

อัตราดอกเบี้ยในระบบสถาบันการเงินและตลาดการเงินปรับลดลงสอดคล้องกับการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่ผ่านมา แต่สินเชื่อยังหดตัวจากความต้องการสินเชื่อของธุรกิจขนาดใหญ่ที่ปรับลดลงตามความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ การชำระคืนหนี้ของลูกหนี้ และความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงด้านเครดิตสูงโดยเฉพาะ SMEs และครัวเรือนรายได้ต่ำ ด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบดอลลาร์ สรอ. เคลื่อนไหวแข็งค่าขึ้นในบางจังหวะซึ่งส่งผลกระทบต่อธุรกิจส่งออกบางกลุ่ม คณะกรรมการฯ เห็นควรให้ติดตามการขยายตัวของสินเชื่อและค่าเงินบาทซึ่งอาจมีนัยต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และสนับสนุนให้มีมาตรการทางการเงินเฉพาะจุดเพื่อดูแลกลุ่มเปราะบาง

ภายใต้กรอบการดำเนินนโยบายการเงินที่มีเป้าหมายรักษาเสถียรภาพราคา ควบคู่กับดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน และรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน คณะกรรมการฯ เห็นว่านโยบายการเงินควรอยู่ในระดับผ่อนคลายเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ โดยจะติดตามพัฒนาการและความเสี่ยงเศรษฐกิจการเงินและพร้อมปรับนโยบายการเงินให้เหมาะสมกับแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่เปลี่ยนแปลงไป

ด้านตลาดหุ้นภาคบ่ายเปิดปรับตัวลดลงไปในแดนลบ ต่ำสุดที่ 1,303.48 จุด ก่อนขยับตัวขึ้นมายืนบวก ณ เวลา 14.34 น. อยู่ที่ 1,306.93 จุด เพิ่มขึ้น 1.69 จุด มูลค่าการซื้อขาย 23.728.50 ล้านบาท

บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ มองการคงดอกเบี้ยดังกล่าวเป็นไปตามที่มองไว้ คาดการประชุมกนง.ในเดือน ธ.ค. ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายของปีนี้จะลดดอกเบี้ยลงเป็น 1.25% ในสิ้นปีนี้

“แนะนำระวังตลาดแกว่งจากแรงขายทำกำไรหลังเก็งกนง.จะลดดอกเบี้ยวันก่อนหน้านี้”

บล.กรุงศรี มองว่าแม้กนง. ยังไม่ลดดอกเบี้ยนโยบายในรอบนี้ แต่บล.กรุงศรี และ Krungsri Research คาดจะลดดอกเบี้ยราว 0.25%ในการประชุมรอบถัดไปปลายปี 2568  ยังคงมุมมองทิศทางดอกเบี้ยไทยปีนี้เป็นขาลง

กลยุทธ์ ระยะสั้นการคงดอกเบี้ยฯ มองเป็นจิตวิทยาลบระยะสั้นต่อหุ้นในกลุ่มเช่าซื้อ และ Hire Purchase , กลุ่มหนี้สูง แต่แนะนำทยอยสะสมในช่วงที่ราคาอ่อนตัวเน้น กลุ่มการเงิน MTC, KTC ค้าปลีก CPALL, BJC

———————————————————————————————————————————————————–