ThaiBMA ชี้หุ้นกู้ไทยฟื้นตัวแรงปลายปี เอกชนจับจังหวะดอกเบี้ยลงคืนหนี้เก่า

HoonSmart.com>>สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย มั่นใจสิ้นปี’68 ยอดออกหุ้นกู้ใหม่ถึง 8 แสนล้านบาทไตรมาส 4 เริ่มคึก เอกชนจับจังหวะดอกเบี้ยลงปรับโครงสร้างหนี้ ลดต้นทุนการเงิน สัปดาห์แรก ต.ค.ออกแล้ว 7.5 หมื่นล้านบาท จับตาหุ้นกู้ไฮยีลด์ ขนาดกลาง-เล็ก ขอยืดหนี้ ด้านนักลงทุนลดถือพันธบัตรรัฐบาลเข้าถือหุ้นกู้คุณภาพเอกชนเพิ่ม เงินลงทุนต่างชาติยังปกติ

ดร.สมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA)  กล่าวว่า จากการที่ไทยถูกสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ปรับมุมมองประเทศเป็น Negativd outlook ทำให้เกิดความตระหนักของวินัยการคลังของรัฐบาล แต่ยังไม่ส่งผลกระทบต่ออัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ไทย และการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ไทย

ทั้งนี้ เพราะผู้ประกอบการไทย มีการออกบอนด์เป็นเงินบาท ยังขายได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ขณะที่ เงินกู้ยืมของรัฐที่เป็นสกุลเงินตราต่างประเทศมีสัดส่วนเพียง 0.68% ของหนี้สาธารณะ

รวมถึง ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น ไม่มีผลต่อการไหลเข้าออกของเงินลงทุนต่างประเทศในตราสารหนี้ไทย

ต่างชาติยังลงทุนในบอนด์ไทยเป็นปกติ ยังไม่เห็นความเคลื่อนไหวแบบเข้าเร็วออกเร็ว และการถือครองบอนด์ไทยของต่างชาติไม่ได้มีมาก ส่วนหนึ่งเพราะผลตอบแทนของไทยบอนด์ต่ำมากเมื่อเทียบกับสหรัฐฯ

ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2568 นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิตราสารหนี้ไทย 29,038 ล้านบาท เป็นการซื้อสุทธิตราสารหนี้ไทยในไตรมาส 1 และ 2 จำนวน 32,329 ล้านบาท รวมกับการขายสุทธิ 3,291 ล้านบาทในไตรมาส 3

รวมแล้ว นักลงทุนต่างชาติมีการถือครองตราสารหนี้ไทยเท่ากับ 8.8 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 5% ของมูลค่าคงค้างตลาดตราสารหนี้ไทย โดยถือครองอายุคงเหลือเฉลี่ย 7.9 ปี ลดลงจาก 8.7 ปี เมื่อสิ้นปี 2567

จากภาวะเศรษฐกิจไทยยังคงมีอัตราการขยายตัวในระดับต่ำต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา โดยในปี 2568 อัตราการขยายตัวมีแนวโน้มชะลอตัวมากขึ้นจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐที่ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออก จำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในประเทศและความขัดแย้งทางชายแดนกับประเทศกัมพูชา

ทำให้เกิดการผิดนัดชำระหนี้ ไม่ต่างจากภาคธนาคารที่มี NPL สูงขึ้น การออกหุ้นกู้ภาคเอกชนในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2568 ลดลง 9.1% จากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า

สำหรับภาพรวมตลาดตราสารหนี้ไทย ไตรมาส 3 ขยายตัว 3.5% จากสื้นปี 2567 มูลค่าคงค้างตลาดตราสารหนี้ไทยเท่ากับ 17.7 ล้านล้านบาท (คิดเป็น 95% ของ GDP) เพิ่มขึ้น 3.5% จากปีที่แล้ว เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของตราสารหนี้ภาครัฐเป็นหลัก มียอดคงค้าง 9.57 ล้านล้านบาท คิดเป็น 53%

ในขณะที่มูลค่าคงค้างตราสารหนี้ภาคเอกชน มีสัดส่วน 26% ของตลาด อยู่ที่ 4.5 ล้านล้านบาท ลดลงจากสิ้นปี 2567 ที่มี 4.6 ล้านล้านบาท ลดลงเล็กน้อยจากสิ้นปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ เป็นผลจากภาคเอกชนมีการออกตราสารหนี้ระยะยาว 640,002 ล้านบาท ลดลง 9.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นอัตราการปรับลดลงที่ต่ำกว่าเมื่อตอนไตรมาส 2 ที่ผ่านมา จากการที่ผู้ออกในกลุ่ม Investment grade เพิ่มการออกขึ้นมากในไตรมาส 3

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับตัวลดลงในทิศทางเดียวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในปี 2568 รวม  3 ครั้ง 0.75% มาอยู่ที่ระดับ 1.50% ส่งผลให้ Bond yield ไทยรุ่นอายุ 2 ปี 5 ปี และ10 ปี ปรับตัวลดลง 86-88 bps. จากสิ้นปี 2567 มาอยู่ที่ระดับ 1.16%, 1.22% และ 1.42% ตามลำดับ

“บอนด์ยีลด์ไทย รุ่น 2 ปี และ 10 ปี ลดลงมากกว่า บอนด์ยีลด์ของสหรัฐฯรุ่นเดียวกันที่ลดลง  64 bps. ทำให้ยีลด์ 2 ตลาดกว้างขึ้นอีก เป็นจุดเปลี่ยนทำให้คนลดการถือบอนด์รัฐ หันมาลงทุนในบอนด์เอกชนที่มีคุณภาพดีมากขึ้น”ดร.สมจินต์ กล่าว

ดร.สมจินต์ กล่าวว่า เส้นอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ภาคเอกชนปรับตัวลดลงในทิศทางเดียวกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล โดยอัตราผลตอบแทนของหุ้นกู้รุ่นอายุ 5 ปี ของหุ้นกู้กลุ่ม AAA  AA  A และ BBB+ ปรับตัวลดลง 72-110 bps. มาอยู่ที่ระดับ 1.71%  2.17%  2.55% และ  3.92% ตามลำดับ ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2568

ทั้งนี้ ผลสำรวจจากผู้ร่วมตลาดส่วนใหญ่คาดว่า กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายราว 1-2 ครั้ง รวม 0.25-0.50% ลงมาอยู่ที่ 1.00-1.25% ณ สิ้นปีจากปัจจุบันที่ 1.50% โดย กนง.จะมีการประชุมใน 8 ต.ค.นี้

สำหรับการคาดการณ์ Bond yield ไทย ผู้ตอบแบบสอบถามคาดว่า ปลายปี 2568 Bond yield ไทยรุ่นอายุ 5 ปี และ 10 ปี จะขยับตัวลดลงเฉลี่ยราว 10-15 bps. จากสิ้นไตรมาส 3 โดยมีปัจจัยหลักจากทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย การขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทย และแผนการระดมทุนของภาครัฐ

น.ส.อริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย มั่นใจว่า ยอดการออกหุ้นกู้ปี 2568 จะถึง 8 แสนล้านบาท   เฉพาะสัปดาห์แรกของเดือนต.ค.มีบริษัทที่ออกหุ้นกุ้ใหม่ออกมาแล้วถึง 7.5 หมื่นล้านบาท ทั้งเดือนน่าจะทะลุ 1 แสนล้านบาท

“บริษัทที่ออก เป็นรายใหญ่ ประกอบด้วย GULF,BTS,CPBREIT เพราะอัตราดอกเบี้ยปรับลดลงมาก ก็อาศัยจังหวะนี้ทำการปรับโครงสร้างหนี้ ช่วยลดภาระดอกเบี้ยจ่ายได้ปีละหลายร้อยล้านบาท”<span;>น.ส.อริยา กล่าว

น.ส.อริยา กล่าวว่า ในไตรมาส 4 ปีนี้ จะมีหุ้นกู้ระยะยาวครบกำหนดรวมมูลค่า 218,777 ล้านบาท โดยแบ่งออกเป็นเดือนต.ค. 77,694 ล้านบาท เดือนพ.ย. 63,268 ล้านบาท และเดือนธ.ค. 77,815 ล้านบาท หุ้นกู้ส่วนใหญ่มีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับลงทุน (Investment Grade) คิดเป็น 89% ขณะที่หุ้นกู้ที่มีความเสี่ยงสูง (High Yield) อยู่ที่ 11% โดยมีการกระจายตัวตามกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น การเงิน อสังหาริมทรัพย์ พาณิชย์ โทรคมนาคม และพลังงาน เป็นต้น

ทั้งนี้ ต้องติดตามกลุ่มหุ้นกู้ที่มีความเสี่ยงสูง (High Yield) จะมีการยืดการชำระหนี้ออกไปจะมีเพิ่มขึ้นต่อเนื่องหรือไม่ หลังจาก 9 เดือนแรก มีหุ้นกู้ 16 ตัว ที่ขอยืดชำระหนี้ มูลค่ารวม 42,679 ล้านบาท โดยมี 12 รายที่ขอยืดหนี้เป็นครั้งแรก แนวโน้มการขอยืดหนี้เพิ่มขึ้นทั้งจำนวนบริษัท และมูลหนี้ผลจากเศรษฐกิจชะลอตัว

ส่วนหุ้นกู้ผิดนัดชำระมีมูลหนี้รวม  4,512 ล้านบาท จากทั้งหมด 6 บริษัท ซึ่งมี 1 บริษัทที่ผู้ถือหุ้นกู้ยอมให้ปรับโครงสร้างหนี้ ยอดผิดนัดชำระจึงเหลือ 3,007 ล้านบาท