CBAM เขย่าผู้ประกอบการส่งออกไทย คาร์บอนเกินจ่าย 80 เหรียญต่อตันปี’69

HoonSmart.com >> ศูนย์วิจัยกสิกรไทยแนะผู้ประกอบการต้องเร่งปรับตัวรับมือมาตรการคาร์บอนข้ามแดนเข้ายุโรป เกินเกณฑ์ต้องจ่าย 80 เหรียญฯสหรัฐฯต่อตัน เริ่ม 1 ม.ค.69 ชี้เหล็ก ปิโตรฯ กระทบหนักสุด คาดฉุดส่งออกไปยุโรป 1% ด้านบจ.ใน SET รับมือดี 70% เริ่มแผนลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ดร.กฤตย์ สีตะธนี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า มาตรการ Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) ของสหภาพยุโรป (EU) กำลังกลายเป็นแรงกดดันใหม่ต่อเศรษฐกิจการส่งออกของไทย โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปล่อยคาร์บอนสูง เช่น เหล็ก ปุ๋ย และซีเมนต์ ซึ่งอาจต้องเผชิญกับต้นทุนภาษีที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหากไม่ปรับตัวให้ทันต่อแนวโน้มโลก

สหภาพยุโรป(EU) เป็นตลาดส่งออกอันดับ 3 ของไทย โดยสัดส่วนส่งไป EU ประมาณ 9% ของการส่งออกทั้งหมด ขณะที่ประเทศคู่ค้าอื่น ๆ อย่างจีนและญี่ปุ่น ก็กำลังพิจารณานำมาตรการคล้าย Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) มาใช้เช่นกัน หากรวม 3 ตลาดนี้เข้าด้วยกัน อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยมากถึง 35% ของมูลค่ารวม

ทั้งนี้ หากสินค้าที่ส่งออกไป EU  มีปริมาณคาร์บอนสูงเกินเกณฑ์จะต้องถูกปรับ 80 เหรียญสหรัฐต่อตัน เริ่ม 1 มี.ค.2569 นี้

เหล็กและเหล็กกล้าเจอหนักสุด

สหภาพยุโรป เริ่มก็บภาษีคาร์บอนจาก 6 กลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ เหล็ก อะลูมิเนียม ปุ๋ย ซีเมนต์ ไฟฟ้า และไฮโดรเจน โดยอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าของไทยถูกมองว่าได้รับผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากเป็นสินค้าหลักที่ส่งออกไปยัง EU และมีการปล่อยคาร์บอนสูง

การคำนวณภาษี CBAM มีความซับซ้อนและอาจสูงถึง 1.35 เท่าของปริมาณสินค้าที่ส่งออก โดยเฉลี่ยแล้ว ผู้ประกอบการอาจต้องแบกรับภาษีสูงถึง 50% ของมูลค่าสินค้า หากไม่สามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้

แม้ CBAM จะเริ่มต้นแบบจำกัด แต่เป้าหมายระยะยาวของ EU คือการขยายขอบเขตให้ครอบคลุมสินค้าทุกประเภทที่ส่งออกมายังประเทศสมาชิก โดยเน้นการควบคุมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำของกระบวนการผลิต

ผู้ประกอบการไทยต้องเร่งปรับตัว

ผู้ประกอบการไทยและภาครัฐต้องเริ่มเตรียมความพร้อมตั้งแต่วันนี้ ด้วยการเรียนรู้วิธีการคำนวณภาษี CBAM และแนวทางการลดหย่อน ทำการพัฒนาระบบจัดเก็บและรายงานข้อมูลการปล่อยคาร์บอนอย่างแม่นยำ ทำการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้ปล่อยคาร์บอนน้อยลง และเฝ้าติดตามแนวโน้มการขยายขอบเขตของ CBAM ไปยังอุตสาหกรรมอื่น ๆ

70% ของบมจ.ใน SET มีแผนลดคาร์บอนฯ

ดร.รุจิพันธ์ อัสสะรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า EU CBAM มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยมากยิ่งขึ้น จากปัจจุบันที่ครอบคลุมมูลค่าสินค้าเพียง 1.1 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็นราว 2.8 หมื่นล้านบาทภายในปี 2573 แม้ว่าผู้ประกอบการไทยจะพยายามปรับตัวโดยดำเนินกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจก แต่อุตสาหกรรมส่วนใหญ่ยังคงปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกินกว่าค่ามาตรฐานของ EU CBAM ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า อาจต้องเสียค่าปรับโดยเฉลี่ย 5 แสนบาทต่อการส่งออกสินค้า 1 ล้านบาทไปยัง EU

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ให้คำแนะนำว่า ตอนนี้ผู้ประกอบการไทยมีสองทางเลือก ได้แก่ “รอหรือลุย” คือจะรอให้กฎหมายและแรงกดดันจากต่างประเทศบังคับ หรือเริ่มและลงมือทันทีเพื่อสร้างความได้เปรียบ ลดความเสี่ยง และเตรียมรับภาษีคาร์บอน โดยช่วงปี 2568 – 2573 คือหัวเลี้ยวหัวต่อ ใครเริ่มก่อนย่อมได้เปรียบ สิ่งสำคัญคือ การทำธุรกิจให้ “กรีนขึ้น” ไม่จำเป็นต้องใช้เงินมาก เพียงเริ่มจากมาตรการง่ายๆ เช่น ใช้พลังงานคุ้มค่า จัดการของเสีย หรือเลือกซัพพลายเออร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ก็ช่วยลดต้นทุน เสริมภาพลักษณ์รวมถึงทยอยปรับตามมาตรฐานสากลอีกด้วย

สำหรับ สถานการณ์ 1 ปีที่ผ่านมาการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวกับ CBAM โดยเฉพาะเหล็กจากประเทศไทยทยอยลดการส่งออกเข้าสหภาพยุโรป (EU) คาดว่าหลังวันที่ 1 ม.ค.2569 เป็นต้นไป การส่งออกน่าจะลดลงมากขึ้น เพราะจะเริ่มเสียค่าปรับกรณีมีปริมาณคาร์บอนเกินกว่าที่กำหนด และไทย ยังไม่มีระบบการซื้อขายคาร์บอน (ETS) หรือการเคลม/ออฟเซ็ตคาร์บอนภายในประเทศที่รองรับในขณะนี้


มีบริษัทที่สามารถปรับตัวได้ คือ กลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ รวมถึงรายกลาง ที่จะมีกลยุทธ์และแนวทางในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ชัดเจนกว่า มีการตั้งเป้าหมาย มีการวางแผน มี Timeline และมีกระบวนการในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ที่มีมากถึง 70% ของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมที่กำลังได้รับผลกระทบ มีการทำแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแล้ว ซึ่งเป็นผลจากการผลักดันให้มีการรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อส่งเสริมเรื่อง ESG สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล
“บริษัทจดทะเบียนที่ดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจัง อยู่ในกลุ่ม ปิโตรเคมี ที่เป็นรายใหญ่ รวมถึงบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ เหล็กและอะลูมิเนียม ที่ส่งไปยัง EU มีการตั้งเป้าลดคาร์บอนเป็นตัวเลข 2 หลัก”ดร.รุจิพันธ์ กล่าว
บริษัทขนาดใหญ่จะได้รับผลกระทบจากการส่งออกไป EU ต่ำ เพราะนอกจากจะทำการลดคาร์บอนได้เองแล้ว ยังสามารถเลือกใช้วิธี offset โดยการ ซื้อคาร์บอนเครดิตจากต่างประเทศ และอาศัยเครือข่ายทางธุรกิจในวงอื่น ๆ มาเพื่อชดเชยการปล่อยคาร์บอนของสินค้าที่ตัวเองส่งออกได้ด้วย

แนะปลดล็อคใช้โครงข่ายไฟฟ้า-เร่ง ETS

นายจักรี พิศาลพฤกษ์ เจ้าหน้าที่วิจัยอาวุโส บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า โครงสร้างตลาดคาร์บอนของประเทศไทยในลักษณะภาคสมัครใจยังเป็นข้อจำกัดต่อการสร้างแรงจูงใจ จึงจำเป็นต้องมีมาตรการสนับสนุนเพิ่มเติม ได้แก่ การปลดล็อคข้อกำหนดการใช้โครงข่ายไฟฟ้า เพื่อสนับสนุนการใช้ไฟฟ้าพลังงานสะอาด Direct Power Purchase Agreement (Direct PPA) รวมถึงกฎหมายภาคบังคับมาอุดช่องว่าง โดยเฉพาะร่าง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่จะทำให้ประเทศไทยมี Carbon Tax และระบบ Emission Trading Scheme (ETS)
หากสามารถปลดล็อกได้จะช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมลดคาร์บอนได้โดยปริยาย ซึ่งรวมถึงความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับ ค่าธรรมเนียมในการใช้โครงข่ายไฟฟ้า (Grid) สำหรับการทำโครงการพลังงานสะอาดในลักษณะ Off-site Power Purchase Agreement (PPA)
ในกรณีของการผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เองในพื้นที่ที่ห่างกัน (Off-site) ผู้เล่นที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องคือ การไฟฟ้า (Grid) ซึ่งเป็นผู้ลงทุนสายไฟครอบคลุมทั่วประเทศอยู่แล้ว
ปัญหาคือยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับ ค่าธรรมเนียมในการเช่าใช้โครงข่าย หรือค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายเพื่อสมดุลความเสี่ยงของระบบไฟฟ้า
หากสามารถปลดล็อกความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับค่าธรรมเนียม สัญญาเช่าใช้เครือข่าย ทั้งระยะสั้นและระยะยาวนี้ได้ จะช่วยส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมลดคาร์บอนได้
ขณะที่ ความล่าช้าในการบังคับใช้ ร่าง พ.ร.บ.ฯ หลัง EU CBAM ประมาณ 2 ปี อาจทำให้ไทยเสียโอกาสนำเงินค่าธรรมเนียมคาร์บอนมาเป็นกองทุนสนับสนุนผู้ประกอบการในประเทศแทนการจ่ายให้กับต่างประเทศ
ขณะที่ การนำเอา Carbon Tax ฝังอยู่ในกลไกภาษีสรรพสามิต ในอัตราประมาณ 6.3 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน หรือ ประมาณ 200 บาท ถือว่าต่ำจึงยังไม่กระทบประชาชนมากนัก ประเทศในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่นมีการจัดเก็บภาษีคาร์บอนต่ำที่ 2 เหรียญสหรัฐฯ แต่ครอบคลุมสินค้าพื้นฐานทั้งหมด ซึ่งต่างจาก EU ที่พุ่งเป้าไปที่สินค้าเฉพาะเจาะจงและจัดเก็บในราคาเดียว 80 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน
หากต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและส่งผลกระทบต่อการบริโภคหรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจริง ไทยต้องเก็บภาษีจะต้องสูงกว่านี้ โดย IMF ประเมินว่า ภาษีคาร์บอนที่เหมาะสมควรอยู่ที่ประมาณ 100 เหรียญสหรัฐฯ เพื่อช่วยให้บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Net Zero)