HoonSmart.com>> 17 โบรกยื่นหนังสือถึง ก.ล.ต- ตลาดหลักทรัพย์ ปิดช่องโหว่การขายชอร์ต และ Naked Short

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 24 ก.ย.2568 ที่ผ่านมา บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) 17 แห่ง รวมตัวกันยื่นหนังสือ ถึง ก.ล.ต และตลาดหลักทรัพย์ ให้ปิดช่องโหว่ในการขายชอร์ต ซึ่งเป็นช่องทางในการทำ Naked Short โดย บล.ทั้ง 17 แห่ง พิจารณาว่า ประกาศของ ก.ล.ต. และแนวทางการตรวจสอบในเรื่องนี้ของตลาดหลักทรัพย์ ขาดความชัดเจนและทำให้เกิดการตีความ เพื่อใช้เป็นประโยชน์ในการซื้อขายหุ้นโดยสร้างความไม่เป็นธรรมเท่าเทียมกันในการลงทุนให้กับนักลงทุนทุกประเภท
ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ เสนอให้ ก.ล.ต ยกเลิกให้มีการยืมหุ้นที่เรียกกันในวงการว่า การยืมแบบ “ Locate” คือ แค่มีแหล่งให้ยืมหุ้นก็สามารถไปตั้งคำสั่งขายได้เลย และถ้ารายการซื้อขายไม่ถูกจับคู่ก็ไม่ต้องทำการยืมหุ้นจริงนั้น จนทำให้เกิดการตั้งขายหุ้นเกินจำนวนหุ้นที่สามารถยืมได้จริง (Over Locate) จึงเกิดกรณีที่หุ้นหลายๆตัว ถูกตั้งคำสั่งขายเป็นจำนวนมาก เพื่อกดราคาของหุ้นนั้นๆไว้ เกิดการบิดเบือนสภาพตลาด หรือที่เรียกกันว่า “ False Market” ซึ่งนักลงทุนรายย่อยที่ส่วนใหญ่คือนักลงทุนไทยไม่สามารถทำได้ บริการการยืมหุ้นแบบนี้มีไว้ให้กับนักลงทุนสถาบันต่างประเทศและนักลงทุนประเภทที่เรียกกันในวงการว่ากลุ่ม HFT (High Frequency Trading) เท่านั้น
นอกจากนี้ ยังเรียกร้องให้ตลาดหลักทรัพย์ตรวจการขายหุ้นของนักลงทุนที่ไม่ได้มีการฝากหุ้นไว้กับ บล. โดยใช้หลักฐานที่เป็นเอกสารที่น่าเชื่อถือ มีที่มาที่ไป ไม่ใช่เป็นเพียงอีเมลบอกเล่าว่ามีหุ้น ก็ยอมรับว่าเป็นการขายหุ้นโดยถูกต้อง เชื่อว่ามีหุ้นในครอบครองก่อนขายแล้ว ไม่มีการตรวจสอบหลักฐานการได้มาของหุ้นว่าเป็นจริงหรือไม่
บล.ทั้ง17 แห่งรวมตัวกันยื่นหนังสือนี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นกับตลาดทุนไทยและและความเท่าเทียมในการลงทุนกับนักลงทุนทุกประเภท โดยพบว่ากฏเกณฑ์ของ ก.ล.ต.และตลาดหลักทรัพย์ อาจสร้างความไม่เท่าเทียมในการลงทุนให้กับนักลงทุนทั่วไป จึงรวมตัวกันเรียกร้องทั้งสองหน่วยงานให้ดำเนินการตามหน้าที่ที่ พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯกำหนดไว้ โดยก่อนหน้านี้ได้มีการรวมตัวกันในลักษณะนี้ โดยการส่งหนังสือถึงตลาดหลักทรัพย์ให้ดำเนินการตรวจสอบติดตามในประเด็นเดียวกันนี้มาก่อน แต่ยังไม่สัมฤทธิ์ผล
ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยอยู่ในสภาวะตกต่ำอย่างรุนแรง ปริมาณการซื้อขายหรือที่เรียกกันว่า “วอลุ่ม” ลดต่ำลงมาก จนบางวันน้อยกว่า 30,000 ล้านบาท ทั้งที่ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิดในปี 2564 ตลาดหุ้นไทยมีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันสูงสุดถึง 93,846 ล้านบาทต่อวัน
โดยต่อมาตลาดหลักทรัพย์ได้มีการส่งเสริมให้นักลงทุนที่ใช้โปรแกรมในการซื้อขายหรือที่เรียกกันว่า กลุ่ม HFT (High Frequency Trading) เข้ามาซื้อขายในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น จนกลายเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดที่ซื้อขายอยู่ในตลาดหุ้น และถูกสงสัยว่านักลงทุนเหล่านี้ได้ใช้ช่องโหว่ของการขายชอร์ต ทำการขายหุ้นแบบ Naked Short หรือมีการใช้หุ้น “ ทิพย์” ในการตั้งคำสั่งขายหรือไม่ และเมื่อรวมกับกรณีหุ้น MORE ที่ตลาดหลักทรัพย์ปล่อยให้เกิดการซื้อขายที่ไม่สุจริตในช่วงเวลาเพียงเสี้ยววินาที ถึง 1,500 ล้านหุ้น นับเป็นมูลค่าเกือบ 4,500 ล้านบาท ถือว่าเป็นการกระทำที่อุกอาจ ปล้นกลางแดด บล. 10 แห่ง จนทำนักลงทุนทั่วไปถอยห่างจากตลาดหุ้นไทย เพราะขาดความเชื่อมั่นในเรื่องการกำกับดูแล
ส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยลดลงมาเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง จนในปี 2567 เหลือเฉลี่ยต่อวันเพียง 46,551 ล้านบาท หรือเหลือเพียงครึ่งหนึ่งจากปี 2564 และยังมีแนวโน้มลดลงต่อไปเรื่อยๆ โดยในครึ่งปีแรกของปี 2568 การซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน ต่ำที่สุดในรอบ 5 ปี โดยทั้งตัว บล.เอง และนักลงทุนทั่วไปต่างให้ความเห็นว่า ยากที่จะมีโอกาสฟื้นคืน
