นายกฯ เร่งอัดฉีดสภาพคล่องเอสเอ็มอี หวังฟื้นศก.-ดันไทยกลับสู่ผู้นำอาเซียน

HoonSmart.com>> นายกฯอนุทิน ชาญวีรกูล เดินหน้าประสานสมาคมธนาคารไทย ผ่อนปรนกลไกสินเชื่ออัดฉีดสภาพคล่องช่วยผู้ประกอบการและครัวเรือน มอบทีมเศรษฐกิจจัดทำแผนเพิ่มมูลค่าสร้างความยั่งยืน ปรับโครงสร้างธุรกิจสู่โลกใหม่ คืนความเป็นผู้นำอาเซียน สู้การแข่งขันบนเวทีโลก พร้อมหาแนวทางแก้ปัญหาค่าเงินแข็ง คุมเส้นทางเงินสีเทา

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยภายหลัง การ เข้าพบสมาคมธนาคารไทย ว่า ทางรัฐบาลมีความห่วงใยเรื่องปัญหาหนี้สินของประชาชน ทั้งหนี้ของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (เอสเอ็มอี) หนี้ครัวเรือน จึงขอความร่วมมือจากสมาคมธนาคารไทยให้ผ่อนปรนกลไกต่างๆ เพื่อเร่งให้มีสภาพคล่องเข้ามาในตลาดให้กับลูกค้าที่ยังมีศักยภาพที่จะสามารถเพิ่มศักยภาพผลิตสินค้า

ทั้งนี้ รัฐบาลได้ขอความร่วมมือจากธนาคาร ให้พยายามที่จะอัดฉีดเม็ดเงิน เข้าไปในระบบให้มากขึ้นเนื่องจากหากเงินก้อนเก่าติดอยู่และไม่มีเงินใหม่เข้าไปเติม เงินก้อนเก่าก็จะหายไปด้วย โดยธนาคารจะต้องประเมินความเสี่ยง และประเมินศักยภาพของลูกหนี้ หรือลูกค้าว่าสามารถสานต่อธุรกิจต่อไปได้

ขณะที่รัฐบาล จะหามาตรการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการ พัฒนา เพิ่มมูลค่า ปรับปรุงประสิทธิภาพในการผลิตสินค้าให้มีคุณภาพดีขึ้น และลดต้นทุนให้ต่ำลง เพื่อให้ธุรกิจมีศักยภาพในการขอสินเชื่อได้ มีความสามารถในการปรับตัวเพื่อรับมือกับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มศักยภาพของประเทศไทย และ เพิ่มมูลค่า ในภาคส่วนหลัก ๆ ของประเทศ

ทั้งภาคการท่องเที่ยวและการบริการ เช่น Medical Wellness , ภาคเกษตรกรรม การดูแลราคาพืชผล รวมถึงธุรกิจที่มีมูลค่าสูง อุตสาหกรรมไฮเทค เพื่อฟื้นเศรษฐกิจ ไปพร้อมๆกับการๆปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ หาช่องทางการตลาด และคู่ค้าใหม่ๆ ให้มีการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

“ก่อนหน้านี้ได้ไปพบกับสภาอุตสาหกรรม และหอการค้ามาแล้ว วันนี้มาพบกับสมาคมธนาคารไทย จะได้รวมคำแนะนำ ปัญหา มาปรับแผนเศรษฐกิจให้ครอบคลุม ซึ่งได้มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กระทรวงการคลัง จัดทำแผนการเพิ่มมูลค่าธุรกิจและเพิ่มศักยภาพของประเทศไทย เพื่อนำเสนอเข้ามาจะได้อนุมัติจะได้นำไปสู่การปฏิบัติให้เร็วที่สุด เพื่อนำความเป็นผู้นำในอาเซียนกลับคืนมาอีกครั้ง สามารถเข้าไปแข่งขันกับตลาดโลกได้”นายอนุทิน กล่าว

นายอนุทิน กล่าวว่า จากการที่เป็นรัฐบาลระยะสั้น ในการแก้โครงสร้างต่างๆคงไม่สามารถที่จะไปปรับปรุงแก้ไขกฎหมายได้เพราะต้องใช้เวลานาน คงไม่สามารถที่จะไปปรับแก้กฎหมายที่เป็นอุปสรรคด้านเศรษฐกิจได้ทัน โดยจะเน้นใช้กฎหมาย อำนาจ กลไก และองค์กรที่มีอยู่ในปัจจุบัน ในการทำงานให้เกิดผลโดยเร็วที่สุด และการปราบปรามอาชญากรรมต่างๆ อย่างเคร่งครัด

” เราขอทางประธานสภาฯแถลงนโยบายทางเศรษฐกิจในวันที่ 29-30 กันยายนนี้ ซึ่งต้องรอดูว่าทางประธานรัฐสภาจะให้กำหนดการมาวันไหน “นายอนุทิน กล่าว

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า จากการที่รัฐบาลระยะสั้น ท่านนายกรัฐมนตรีเน้นการทำงานแบบด้าน Quick, Big และ Win เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจไทย สร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนต่างชาติ

สำหรับ กรณีค่าเงินบาทแข็ง และการไหลเข้าของเงินจากต่างประเทศ ทำให้บาทแข็งค่าขึ้นอีก มีความเกี่ยวข้องกับตลาดเงินและตลาดทุนและเศรษฐกิจ มีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องร่วมมือกันทำงานร่วมกัน (Connecting The Dot) ทั้ง ธนาคารแห่งประเทศไทยธปท.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.), กระทรวงการคลัง โดยปลัดกระทรวงการคลังจะมีการจัดตั้งทีมงานขึ้นมาดูแลเรื่องนี้ เพื่อจะได้มีการทำงานร่วมกัน เพื่อตอบโจทย์การเชื่อมโยงที่ประธานสมาคมธนาคารไทยพูดถึง เพื่อจะได้ดูว่าเงินมาจากตรงไหน จะได้เกาให้ถูกที่คันแก้ปัญหาให้ตรงจุด หลังจากที่ถวายสัตย์และมีการแถลงนโยบายเสร็จก็จะดำเนินการเรื่องนี้ทันที โดยได้ประสานกับทางทีมที่กระทรวงการคลังให้ Connect the dots” ไว้แล้ว โดยเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทางสมาคมธนาคารไทยได้มาฉายภาพให้เห็นและชี้จุดเดียวกันกับเราเจอก็คือว่า ในเรื่องของค่าเงินมันมีหลายส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย ทั้ง ปปง. กลต และก็หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

“ธนาคาร ถูกเปรียบเสมือน “น้ำมันหล่อลื่น” ที่จะทำหน้าที่หล่อลื่นให้เครื่องจักร หรือ ผู้ประกอบการสามารถทำงานได้ดี และส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ธุรกิจใหม่ๆ ต้องอาศัยกลไกตลาดเงินเข้ามาสนับสนุน”นายเอกนิติ กล่าว

นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวถึงการตรวจสอบกรณีที่ค่าเงินบาทแข็งค่ารวมถึงเงินทุนไหลเข้ามาจำนวนมาก มีการตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะเป็นเงินทุนสีเทา ว่า สิ่งที่ต้องเร่งทำ ก็คือการ Connect the dots ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด ซึ่งการขับเคลื่อนของเงินทุนในรูปแบบต่างๆ ต้องผ่านหลายกลไกในระบบตลาด ทั้งตลาดเงิน ตลาดทุน ตลาดทั่วไป ตลาด อัตราแลกเปลี่ยน ที่เป็นทั้งระบบธนาคารและไม่ใช่ระบบธนาคาร ไปจนถึงการเคลื่อนย้ายเงินทุน โดยกิจกรรมทั้งหมดนี้อยู่ระหว่างการเชื่อมโยงข้อมูล

ล่าสุด ทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กำลังเร่งดำเนินการดูแลเส้นทางเงินที่น่าสงสัยอยู่ในขณะนี้

นายผยง กล่าวว่า จากการที่ทีมเศรษฐกิจ มีครบทุกด้านทั้ง ภาคการเงินการธนาคาร ภาคตลาดทุน ภาคพลังงาน ภาคการค้าการขาย ทำให้เข้าใจภาคเศรษฐกิจดี มีการเน้นกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีการจ้างงานสูง

วันนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ 58 ปี ที่นายกรัฐมนตรี มาพบกับทางสมาคมธนาคารไทย ก็มีโอกาสแลกเปลี่ยนข้อมูล ซึ่งเรื่องสภาพคล่องโดยตัวมันเองไม่มีปัญหา แต่ไม่สามารถไหลไปสู่จุดที่ต้องการได้จุดสำคัญมาจากข้อมูลที่ไม่พร้อม

“อย่าลืมว่า SME บ้านเรา ถ้าดูโครงสร้างเรื่องของเศรษฐกิจในระบบกับนอกระบบ มีเอสเอ็มอีที่อยู่นอกระบบเศรษฐกิจสูงมากถึง 48% ทำให้ไม่มีข้อมูล นำไปสู่ความสับสน สะท้อนผ่านคุณภาพของหนี้ เป็นจุดที่ท่านนายกรัฐมนตรีเข้าใจเพราะท่านเคยเป็นนักธุรกิจ ท่านเข้าใจเรื่องข้อต่อห่วงโซ่อุปทานและองค์ประกอบที่สำคัญที่ก่อให้เกิดระบบเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพสูงสุด และครม.เศรษฐกิจก็เข้าใจอย่างดี”นายผยง กล่าว

อ่านข่าวอื่นๆ : https://hoonsmart.com/archives/37828