ก.ล.ต.เผย 8 เดือนอายัดบัญชีม้า 3 หมื่นบัญชี จับมือธปท.-ปปง.-บริษัทซื้อขายคริปโตฯสกัด 

HoonSmart.com>>ก.ล.ต.เผย 8 เดือนอายัดบัญชีม้า 31,200 บัญชี มูลค่า 229 ล้าน จับมือ ธปท.- ปปง.-ตำรวจไซเบอร์-บริษัทซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลสกัดฟอกเงิน คุมการรายงานการเก็บรักษาทรัพย์สินลูกค้าเข็มงวด

นายเอนก อยู่ยืน รองเลขาธิการ และโฆษก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า ข้อมูล ณ 31 ส.ค.2568 ก.ล.ต. ได้ทำอายัดบัญชีที่เกี่ยวข้องกับบัญชีม้าแล้ว 31,216 บัญชี รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 229 ล้านบาท เจ้าของบัญชีต้องมาชี้แจงความบริสุทธิ์

ทั้งนี้ ได้ร่วมมือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.), สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.),ตำรวจไซเบอร์ และบริษัทซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ในการสกัดการใช้ “บัญชีม้า” ในการเคลื่อนย้ายเงินผิดกฎหมายออกนอกประเทศอย่างรวดเร็ว ผ่านสินทรัพย์ดิจิทัล

ขบวนการมิจฉาชีพมักใช้วิธีเปิดบัญชีม้ากับธนาคาร ก่อนนำเงินบาทไปซื้อคริปโทฯ เพื่อฟอกเงินและส่งออกไปต่างประเทศอย่างรวดเร็ว โดยบัญชีเหล่านี้มักมีลักษณะเงินเข้าแล้วออกทันที ทำให้ผู้ถูกใช้เป็นบัญชีม้าไม่ทันตั้งตัว

“เรามีหลักเกณฑ์ในการดูว่าบัญชีไหนเป็นบัญชีม้า ถ้าเข้าข่ายต้องฟรีซก่อนตั้งแต่ต้น ไม่ใช่ปล่อยให้โอนเข้ามาก่อน เพราะจะไม่ทันการ”นายเอนก กล่าว

นายเอนก กล่าวว่า ก.ล.ต.ได้ขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการสินทรัพย์ดิจิทัล ให้ช่วยตรวจสอบและควบคุมบัญชีเป้าหมายที่หน่วยงานรัฐแจ้งมา มีการจัดเวิร์กช็อปร่วมกับผู้ประกอบการคริปโตฯ และธนาคาร เพื่อกำหนดแนวทางป้องกันบัญชีม้าได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชนอย่างดี เพราะไม่อยากให้ลูกค้าได้รับความเสียหาย

นอกจากนี้ ยังได้ให้ความรู้แก่ประชาชนให้ระวังการเปิดบัญชีโดยไม่รู้ตัวว่าอาจถูกใช้เป็นบัญชีม้า พร้อมเดินหน้ารณรงค์ร่วมกับตำรวจเพื่อสร้างความเข้าใจและป้องกันการตกเป็นเหยื่อ

กรณี เหตุการณ์ที่มีผู้ประกอบธุรกิจคริปโตฯ ถูกแฮก ก.ล.ต. ได้เข้าตรวจสอบทันที พบว่าทรัพย์สินของลูกค้ายังปลอดภัยและอยู่ครบถ้วน พร้อมกำชับให้ผู้ประกอบการรายงานข้อมูลอย่างถูกต้องตามเกณฑ์การจัดเก็บรักษาสินทรัพย์ดิจิทัลของ ก.ล.ต.เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ผู้ใช้บริการ

นายเอนก กล่าวถึง โครงการ TouristDigiPay ที่ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถนำเงินสกุลดิจิทัล หรือ คริปโต มาแลกเป็นเงินบาทและฝากไว้ใน อี-วอลเล็ต กับผู้ให้บริการ อี-มันนี่ ที่ขึ้นทะเบียนกับ ธปท. และนำไปใช้ซื้อสินค้าและบริการ เพื่อนกระตุ้นการท่องเที่ยว คาดว่าจะเริ่มโครงการนำร่องได้ในเดือน พ.ย.นี้

ทั้งนี้ ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก็มีมาตรการกลุ่มคนไม่ดีในการใช้เป็นช่องทางฟอกเงิน ที่มีความรัดกุม ด้วยการเปิดรับสมัครผู้รับแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล เข้าร่วมโครงการ ที่จะต้องผ่านการคัดกรองตามเกณฑ์ของ ธปท.,ก.ล.ต. และ ปปง.

นอกจากนี้ ยังกำหนดให้แลกและใช้จ่ายได้สูงสุดเดือนละ 5 แสนบาทกับร้านค้าที่มีระบบพิสูจน์ตัวตน และ 5 หมื่นบาทกับร้านค้าทั่วไป

สำหรับ ความคืบหน้าการดำเนินการบังคับใช้กฎหมายในช่วง 1 ม.ค. – 15 ก.ย.2568 มีการกล่าวโทษผู้กระทำผิดในคดีอาญาต่อพนักงานสอบสวนรวม 12 คดี ครอบคลุมผู้กระทำผิด 47 ราย แยกเป็น

คดีการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์และสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น การสร้างราคา การแพร่ข่าวเท็จ และการซื้อขายก่อนกองทุน (Front run) 6 คดี ผู้กระทำผิด 18 ราย ,คดีการทุจริต 1 คดี ผู้กระทำผิด 2 ราย,คดีการแสดงข้อความเท็จหรือปกปิดข้อมูลสำคัญ 3 คดี ผู้กระทำผิด 16 ราย และคนดีการประกอบธุรกิจโดยไม่ได้รับอนุญาต 2 คดี ผู้กระทำผิด 11 ราย

หลายกรณีเป็นการกระทำผิดที่เกิดขึ้นหรือได้รับข้อมูลในปี 2567 เช่น  การสร้างราคาหุ้น PK, TKT และ PROS ,การเผยแพร่ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับ THG,การตกแต่งงบการเงินของ JKN  และ  การซื้อขายหลักทรัพย์ก่อนกองทุนโดยใช้ข้อมูลภายใน

“เป็นผลจากทีมบังคับใช้กฎหมายทำงานหนักมากทำให้คดีต่างๆเสร็จรวดเร็วคณะกรรมการที่ทำการลงโทษทางแพ่งก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ซึ่งมีทั้งอัยการสูงสุด ปลัดกระทรวงการคลัง และอธิบดี DSI มีการประชุมกันอย่างต่อเนื่องในการที่จะบังคับใช้กฎหมายทำให้สามารถตัดสินได้อย่างรวดเร็ว”นายเอนก กล่าว

นายเอนก กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังมีคนดีแพ่งอีก 16 คดี รวมผู้กระทำผิด 63 ราย โดยแบ่งเป็น

คดีการกระทำอันไม่เป็นธรรมในการซื้อขายหลักทรัพย์/สินทรัพย์ดิจิทัล เช่น การสร้างราคา การใช้ข้อมูลภายใน และการแพร่ข่าวเท็จ 14 คดี ผู้กระทำผิด 60 ราย
คดีการแสดงข้อความเท็จหรือปกปิดข้อมูลสำคัญ 1 คดี ผู้กระทำผิด 2 ราย
คดีการไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบและซื่อสัตย์สุจริต 1 คดี ผู้กระทำผิด 1 ราย

ในช่วงเวลาเดียวกัน มีผู้กระทำผิด 27 รายจาก 11 คดี ยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่ง โดยมีค่าปรับรวม 113.40 ล้านบาท และชดใช้เงินเท่าผลประโยชน์ที่ได้รับ 62.05 ล้านบาท

ตั้งแต่ปี 2560 ที่เริ่มใช้มาตรการลงโทษทางแพ่ง มีผู้กระทำผิดยินยอมตามมาตรการรวม 304 ราย จาก 78 คดี คิดเป็นค่าปรับ 2,145.55 ล้านบาท และเงินชดใช้คืน 448.56 ล้านบาท ซึ่งทั้งหมดเป็นรายได้แผ่นดินที่ ก.ล.ต. ส่งมอบให้กระทรวงการคลัง

สำหรับผู้ที่ไม่ยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่ง ก.ล.ต. ได้ส่งเรื่องให้พนักงานอัยการดำเนินการฟ้องต่อศาลแพ่ง เพื่อขอให้ศาลกำหนดบทลงโทษในอัตราสูงสุดตามที่กฎหมายบัญญัติ

“ยังไม่สิ้นปี มีการดำเนินคดีอาญา และคดีแพ่ง รวม 28 คดี ยังเหลืออีก 1 ไตรมาสที่ต้องดำเนินการ ซึ่งมากกว่าปี 2567 ทั้งปี ที่ดำเนินคดีทั้งหมด 27 คดี”นายเอนก กล่าว