
โดย…บล.บลูเบลล์
ในช่วง 3 วันที่ผ่านมา ตราสารหนี้ไทยเผชิญแรงขาย โดยเฉพาะในตราสารหนี้อายุกลาง–ยาว ส่งผลให้กองทุนตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ยตราสารยาวๆ ร่วงแรง
โดยตลอดทั้งปีนี้ราคาพันธบัตรไทยปรับตัวขึ้นต่อเนื่องและค่าเงินบาทก็แข็งค่า ทำให้นักลงทุนมีกำไรทั้งจากราคาตราสารหนี้และค่าเงิน
ทาง J.P. Morgan ได้ปรับมุมมองให้ “ลดน้ำหนัก” ตราสารหนี้รัฐบาลไทย เนื่องจากมองว่าได้สะท้อนข่าวดีไปมากแล้ว (ราคาวิ่งขึ้นแรงตั้งแต่ต้นปี) ทั้งจากการเปลี่ยนผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ที่ส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงิน รวมถึงแนวโน้มการลดดอกเบี้ยที่เร็วกว่าตลาดคาดไว้
ทำให้นักลงทุนเริ่มใช้จังหวะนี้ในการ “ขายทำกำไร” ออกมา
และในสัปดาห์นี้จะมีการประชุม FED ครั้งสำคัญ ที่กำหนดทิศทางดอกเบี้ยของสหรัฐฯหลังจากนี้ และตลาดคาดว่าจะมีการลดดอกเบี้ย จึงเริ่มเห็นการโยกเงินลงทุนเข้าเก็งกำไรในตราสารหนี้สหรัฐฯ
อย่างไรก็ตามแม้จะมีแรงขายออกมา แต่วัฏจักรดอกเบี้ยไทยที่ยังอยู่ใน “ช่วงขาลง” จากเศรษฐกิจที่เติบโตในระดับต่ำ เงินเฟ้อที่ฟื้นช้า ทำให้ดอกเบี้ยไทยยังต้องปรับลงอีก (ราคาตราสารหนี้จะปรับตัวขึ้น) ในระยะถัดไป
การปรับตัวขึ้นของ Bond Yield ระยะยาว ประมาณ 10–30 bps ทำให้ Valuation ของพันธบัตรรัฐบาลไทยระยะยาวกลับมาน่าสนใจมากขึ้น
กองทุนตราสารหนี้ระยะยาว ณ ตอนนี้จะสามารถคาดหวังผลตอบแทนสูงขึ้น จากดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นในพอร์ต
“เรามองว่ากองทุนตราสารหนี้ระยะยาวต่างๆ ที่ปรับตัวลงมาในช่วงนี้ เป็นการปรับตัวลง “ในะระยะสั้น” และ คาดว่า NAV จะเริ่มนิ่งขึ้นในสัปดาห์หน้าหลังผ่านการประชุมของ FED และ มีโอกาสฟื้นตัวในช่วงการประชุมกนง.ในครั้งถัดไป (8 ต.ค. 68)”
สำหรับผู้ที่ลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะยาว เช่น K-FIXED-A, KFAFIX-A, KFENFIX-A เป็นต้น แนะนำให้ถือลงทุนอย่างน้อย 1 ปีขึ้นไป หากมีระยะเวลาลงทุนได้ไม่ถึง 1 ปี แนะนำให้ลดความเสี่ยงลงมาลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น-กลาง เช่น KKP PLUS, KKP S-PLUS ที่มีความผันผวนต่ำกว่า
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
