HoonSmart.com >> SINO ปักธง ! ผู้นำเอเชีย ขนส่งไปสหรัฐ หลังปิดดีลซื้อ “เอ.เอส.โลจิสติกส์ 100% ลุย ! ธุรกิจ Air Freight ประเมินแนวโน้มอุตสาหกรรมขนส่งสินค้าระหว่างประเทศมีดีมานด์ต่อเนื่อง ทุ่มลงทุนคลังสินค้า ลงทุนอินโดฯ มุ่งสู่ผู้นำระดับภูมิภาค ตั้งเป้ารักษาการเติบโตของรายได้ 10-15%

นายนันท์มนัส วิทยศักดิ์พันธ์ (คนที่ 2 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทไซโน โลจิสติกส์ คอร์ปอเรชั่น (SINO) เปิดเผยว่า บริษัท เอสเอ็นซี คาร์โก้ เซอร์วิสเซส (SNC) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย เข้าถือหุ้น 100% ในบริษัท เอ.เอส. โลจิสติคส์ จำกัด (A.S. Logistics) ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติไทยที่ดำเนินธุรกิจบริการ Air Freight Forwarder ใช้เงินลงทุน 35 ล้านบาท ช่วยเพิ่มศักยภาพธุรกิจและทำให้ SINO มีต้นทุนการบริการ Air Freight ลดลง
เริ่มรับรู้รายได้จาก AS ตั้งแต่เดือนก.ย. 68 โดยทีมผู้บริหารชุดเดิมของ AS จะบริหารงานต่อไป ขณะเดียวกัน จะยกระดับธุรกิจของ SNC ซึ่งเป็นผู้ดำเนินธุรกิจตัวแทนขายระวางสินค้าสายการบิน หรือ Cargo General Sales Agent (GSA) เพื่อขายระวางสินค้าแก่ Freight Forwarder ตั้งเป้าหมายปี 2569 กลุ่มธุรกิจ Air Freight จะทำรายได้กว่า 200 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 3% ของรายได้จากการบริการรวม และจะเพิ่มสัดส่วนเป็น 5% ของรายได้จากการบริการรวมใน 3-5 ปีข้างหน้า
นายสิทธิกร ทับเที่ยง (ที่ 2 จากขวา) กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ.เอส. โลจิสติคส์ กล่าวว่า บริษัทฯ มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญการดำเนินธุรกิจบริการ Air Freight Forwarder กว่า 38 ปี มีความสัมพันธ์กับตัวแทนขายระวางสินค้าสายการบินกว่า 5 สายการบิน ครอบคลุมเส้นทางในเอเชีย ยุโรป และสหรัฐฯ ปัจจุบันมีฐานลูกค้ากว่า 80 ราย ขณะที่การเข้ามาถือหุ้นของ SINO จะเพิ่มศักยภาพขยายธุรกิจและฐานลูกค้า
คาดการณ์ภาพรวมอุตสาหกรรมขนส่งสินค้าทางอากาศปี 2568 – 2569 มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง จากการฟื้นตัวของธุรกิจการบินและการเพิ่มเที่ยวบินระหว่างประเทศ ส่งผลดีต่อพื้นที่ระวางสินค้าที่จะเพิ่มขึ้น โดยบริษัทฯ จะเพิ่มทีมงานฝ่ายขายเพื่อขยายฐานลูกค้าและทำโรดโชว์ให้ข้อมูลกับสายการบินต่างๆ ภายใต้การสนับสนุนจาก SINO ซึ่งคาดว่าจะทำให้บริษัทฯ มีรายได้ 100 ล้านบาทในปี 2568 และเพิ่มขึ้นเป็น 200 ล้านบาทในปี 2569
นายนันท์มนัส วิทยศักดิ์พันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SINO กล่าวถึง ภาพรวมธุรกิจขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการขนส่งสินค้าทางทะเลบนเส้นทางไทย-สหรัฐอเมริกา 6 เดือนแรกของปีนี้ ได้รับผลกระทบจากภาษีสหรัฐ และการขนส่งสินค้าชะลอตัวเล็กน้อย ครึ่งเดือนหลังมิ.ย.ที่ผ่านมา เนื่องจากกังวลต่อความไม่แน่นอนของการปรับขึ้นอัตราภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ที่เริ่มมีตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2568
ส่วนแนวโน้มการขนส่งสินค้า ทางทะเลไทย-สหรัฐฯ ช่วงที่เหลือปีนี้ คาดมีดีมานด์ต่อเนื่อง หลังจากได้พบกับผู้นำเข้าสินค้าที่สหรัฐฯ เนื่องจากอัตราภาษีฯ ของไทย-สหรัฐฯ ที่ 19% ต่ำกว่าเวียดนามเล็กน้อยและเท่ากับมาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และกัมพูชา ซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกหลักในอาเซียน รวมถึงไทยใช้วัตถุดิบในประเทศ (Local Content) เป็นส่วนใหญ่ จึงมีความได้เปรียบเชิงการแข่งขัน
บริษัทฯ วางแผนขยายการลงทุนในครึ่งปีหลัง เพื่อมุ่งสู่ผู้นำธุรกิจบริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศครบวงจรระดับภูมิภาค และปรับพอร์ตรายได้ในปัจจุบันที่มาจาก 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ 1) กลุ่มธุรกิจบริการ Sea Freight (ขนส่งสินค้าทางทะเล) ซึ่งเป็นสัดส่วนรายได้หลักกว่า 90% 2) กลุ่มธุรกิจบริการ Air Freight (ขนส่งสินค้าทางอากาศ) จะมุ่งเพิ่มสัดส่วนรายได้เพื่อลดการพึ่งพารายได้จากธุรกิจ Sea Freight ในอนาคต และ 3) กลุ่มธุรกิจบริการสนับสนุนงานบริการโลจิสติกส์ เช่น คลังสินค้าให้เช่า เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้นและสนับสนุนการเติบโตของบริษัทฯ ในอนาคต
นอกจากการลงทุนขยายธุรกิจบริการ Air Freight บริษัทฯ ได้วางแผนขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ SINO Worldwide เพื่อเพิ่มศักยภาพการบริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ โดยหลังจากร่วมทุนกับพาร์ทเนอร์ในมาเลเซียจัดตั้งบริษัท Sino Worldwide Logistics SDN. BND และสำนักงานที่ประเทศมาเลเซียในปี 2567 โดย SINO ถือหุ้น 51% เพื่อสนับสนุนแผนการเพิ่มปริมาณขนส่งสินค้าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 800 ตู้ต่อเดือนในครึ่งปีหลังของปี 2568 จากเฉลี่ย 700 ตู้ต่อเดือนในครึ่งปีแรก
ส่วนในประเทศเวียดนาม บริษัทฯ ได้จัดตั้งบริษัท Sino Worldwide Vietnam Co.,Ltd และสำนักงานเมื่อเดือนเมษายน 2568 โดย SINO ถือหุ้น 60% ซึ่งคาดว่าจะมีปริมาณขนส่งสินค้าเฉลี่ย 250 ตู้ต่อเดือนในครึ่งปีหลังของปี 2568 นอกจากนี้ จะจัดตั้งบริษัทร่วมทุนและสำนักงานที่อินโดนีเซีย ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จไตรมาส 2 ปี 2569
ขณะที่ธุรกิจบริการสนับสนุนงานบริการโลจิสติกส์ SINO เตรียมเปิดบริการคลังสินค้าปลอดอากร (Free Zone) พื้นที่เกือบ 6,000 ตารางเมตร ภายในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี ในเดือนตุลาคม 2568 ซึ่งจะเพิ่มพื้นที่คลังสินค้ารวมเป็นกว่า 33,000 ตารางเมตร และวางแผนลงทุนคลังสินค้าปลอดอากรแห่งใหม่ในจังหวัดสมุทรปราการ เพื่อกระจายทำเลและขยายพื้นที่คลังสินค้ารวมเป็น 50,000 ตารางเมตร นอกจากนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างลงทุนเทคโนโลยีดิจิทัลภายใต้ชื่อโครงการ VOYA ประกอบด้วย 1) การพัฒนาและติดตั้งระบบ Freight Cloud System เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความรวดเร็วแม่นยำของการบริหารกระบวนการขนส่งสินค้า รวมถึงติดตามสถานะแบบเรียลไทม์ และ 2) ติดตั้งระบบ SAP S4/HANA ซึ่งเป็นระบบ ERP อันดับหนึ่งของโลก เพื่อบริหารงานบัญชีและการเงิน เพิ่มประสิทธิภาพด้านความถูกต้อง โปร่งใส และการตรวจสอบที่เป็นระบบ
