HoonSmart.com>>สองกูรูเศรษฐกิจ ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ จากทีดีอาร์ไอ ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ จากสภาพัฒน์ฯ ร่วมสะท้อนโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลใหม่ต้องเร่งขับเคลื่อน การเปิดตลาดไฟฟ้าสีเขียวให้ชาวบ้านมีรายได้ แก้ไขบาทแข็ง ปลดล็อกกฎหมายธุรกิจที่ติดขัด เร่งเจรจาการค้าเสรี ดันเศรษฐกิจไทยไปต่อ
จากเวทีสัมมนา ACMA BUSINESS FORUM 2025 หัวข้อ Powering Thailand’ New Growth Engine :The Road For Success โดยมีผู้เสวนาประกอบด้วย ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์,ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ดำเนินรายการโดย ดร.ภาณุ เชาว์ปรีชา กรรมการ บริษัทฤทธา โฮลดิ้ง มีกล่าวตอนหนึ่งถึงความคาดหวัง และที่ต้องการเห็นรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี ดำเนินการในระยะสั้น ดังนี้
ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวว่า สิ่งที่ยากเห็นรัฐบาลทำในระยะสั้น มี 3 เรื่อง
1.การเจรจาการค้าเสรีควรเร่งให้เสร็จภายในปีนี้
2.ค่าบาทแข็ง โดยตั้งแต่วัน 1 ม.ค.2568 ถึงวันที่ 9 ก.ย.2568 บาทแข็ง 7% เทียบกับเงินภูมิภาคนี้ที่แข็งค่า 2% กว่า ทำให้ผู้ประกอบการไทยเหนื่อย ซึ่งไม่ใช่เพิ่งเกิด แต่เงินบาทไทยแข็งค่าขึ้นเฉลี่ยปีละ 2% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ทั้งๆ ที่เงินเฟ้อไทยต่ำกว่าสหรัฐฯ 2%

ค่าเงินบาทแข็ง เป็นหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทยโดยอ้อม ในการที่จะแก้ปัญหา เพราะโดยตรง ธปท.พยายามที่จะคุมอัตราเงินเฟ้อไม่ให้เกิน 2%

“แต่ปัญหาคือขอพูดตรงๆนะ 10 ปีที่ผ่านมาเงินเฟ้อไทยเฉลี่ย 1% กว่าไม่ถึง 2% อเมริกาเขาเฉลี่ย 2% กว่า นักเศรษฐศาสตร์มองว่าในระยะยาวเงินมีการเสื่อมค่าเท่าๆกันต่อปี ประเทศไหนเงินเฟ้อต่ำ ค่าเงินก็จะต้องแข็ง แค่ขอให้ทำให้เงินเฟ้อกลับมาที่ 2% ให้ได้ แต่ทางแบงก์ชาติ บอกว่าเราวัดเงินเฟ้อผิด แต่ตัวเลขมันฟ้อง ทำให้ธุรกิจทำงานลำบาก จะเห็นว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี มีการปรับลงอย่างรุนแรง พอๆ กับอัตราดอกเบี้ยนโยบายซึ่งเป็นการสะท้อนว่าเศรษฐกิจไทยร่วงแรง ต้องจัดการเรื่องนโยบายการเงิน”ดี.ศุภวุฒิ กล่าว
ดร.ศุภวุฒิ กล่าวว่า 3.ไทยจะเป็นเจ้าภาพในการประชุมธนาคารโลกและ IMF ปลายปี 2569 ไทยจะต้องเตรียมตั้งแต่วันนี้ว่าในช่วงที่มีรัฐมนตรี มีผู้ว่าธนาคาร มีนักธุรกิจ จาก 100 ประเทศเข้ามา ไทยจะต้องบอกชาวโลกให้ได้ว่า จะพาประเทศออกจากกับดักประเทศที่มีรายได้ปานกลางอย่างไร
ครั้งสุดท้ายที่ไทยเป็นเจ้าภาพการประชุมธนาคารโลกและ IMF คือเมื่อ 30 ปีที่แล้วปี 1992 ไทยต้องบอกทั่วโลกให้ได้ว่าจะพัฒนาตัวเองออกจากกับดักประเทศที่มีรายได้ปานกลางอย่างไร
ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)
1.การปฏิรูปกฎระเบียบ ที่ควรจะชวนฝ่ายค้านมาทำร่วมกันในการแก้ไขกฎหมายเพื่อแก้อุปสรรคเช่น เรื่องไฟฟ้าที่ไม่ใช่เรื่องกฎระเบียบทั้งหมด แต่เพราะนโยบายของรัฐไม่เอื้อให้เกิดการซื้อขายไฟโดยตรง
ตอนนี้กำลังเป็นโจทย์ใหญ่ของประเทศไทยในการที่จะเปลี่ยนผ่านไปสู่ธุรกิจสีเขียว เพราะถ้าเป็นโรงงานมีการติดโซลาร์ Rooftop เรียบร้อยแล้ว แต่ไฟไม่พอใช้ต้องซื้อไฟเพิ่ม ซึ่งปัจจุบันการซื้อไฟจากพลังงานหมุนเวียนแล้วเอาไปเคลมว่าเป็นสินค้ากรีนยากมาก
ควรจะมีการอัพเกรดสายส่ง อัพเกรด substation ที่ใช้เงินไม่มาก เพราะโครงสร้างพื้นฐานมีอยู่แล้ว ถ้าเปิดให้ซื้อ-ขายไฟกันได้โดยตรงจะเป็นก้าวกระโดด และจะเปิดให้ประชาชนฐานรากมีโอกาสลืมตาอ้าปากได้ จะเป็น growth ที่เกิดขึ้น เพราะไฟไม่ได้กระจุกตัวอยู่เฉพาะโรงไฟฟ้ารายใหญ่ ต่อไปชาวบ้านสามารถติดโซลาร์ Rooftop ในพื้นที่เกษตร เอาไฟฟ้าที่ผลิตได้ขายเข้าไปสู่กริดสร้างรายได้ให้ชาวบ้านนี่คือสิ่งที่อยากเห็นรัฐบาลอนุทินทำเพราะว่าไม่ต้องใช้เงินลงทุนมากและไม่ต้องใช้เวลามากเพียงแก้กฎระเบียบและนโยบาย
2.การปลดล็อคกฎหมายที่เป็นอุปสรรค ซึ่งรัฐบาลนายอนุทิน ได้อาจารย์บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายมาเป็นรองนายกฝ่ายกฎหมาย มีความเข้าใจกฎหมายด้านการบริหารแผ่นดิน กฎหมายปลดล็อคธุรกิจที่ผ่านมาเคยเสนอรัฐบาล แต่รัฐบาลไม่มี action ปัจจุบันอาจารย์ได้มาเป็นรัฐบาลแล้วก็อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
3.อยากเห็นการสานต่องานรัฐบาลที่ผ่านมา คือการลุยตรวจจับสินค้าอุตสาหกรรมที่ไม่ได้มาตรฐานมอก. ไม่ได้มาตรฐานเกษตร ไม่ได้ขึ้นทะเบียน อย. ก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพและก่อให้เกิดตึกถล่ม อย่างที่ผ่านมา ควรจะลุยตรวจสุดซอยต่อไป
4.การสร้างรายได้ให้กับประเทศ เพราะปัจจุบันจากกันที่ประเทศไทยอาจเสี่ยงถูกลดอันดับเครดิตความน่าเชื่อถือของประเทศ แต่รัฐบาลที่ผ่านมาไม่มีการพูดถึงแผนการสร้างรายได้ให้กับประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องเร่งด่วนที่รัฐบาลนายอนุทินเข้ามา ซึ่งถือว่าดีที่ได้ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่เคยเป็นอธิบดีกรมสรรพากรอธิบดีกรมศุลกากรจะรู้วิธีการสร้างรายได้
