หุ้น Domestic เล่นยาวได้ถึงเลือกตั้ง เก็ง’คนละครึ่ง’เริ่มต.ค. ข่าวดี’ศุภจี’รมว.พาณิชย์

HoonSmart.com>>”อนุทิน” นายกฯคนใหม่ เปิดนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ-ความมั่นคง เดินเกมส์โกยคะแนนเสียงรากหญ้า ปลัดคลังพร้อมชงมาตรการ”คนละครึ่ง”เริ่มต.ค.นี้ โบรกเกอร์ต่างเชียร์กลุ่ม Domestic แนะเล่นยาวได้ถึงเลือกตั้งใหม่ ชูกลุ่มค้าปลีก-ไฟแนนซ์ เด่น  บล.ดาโอ เปิดหุ้นได้-เสียภารกิจเร่งด่วนรัฐบาล “ศุภจี สุธรรมพันธุ์”ตอบรับนั่ง รมว.พาณิชย์ 

8  ก.ย. 2568 เป็นวันที่ตลาดหุ้นเปิดซื้อขายวันแรก นับตั้งแต่ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีคนที่ 32  นายอนุทิน ชาญวีรกูล  ดัชนี SETปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 1,276.15 จุด+11.35 จุด แต่เจอแรงขายกดลงต่ำสุด -0.01 แตะ 1,264.79  จุด และมีแรงซื้อหุ้นกลับปิดที่ 1,266.11 จุด บวก 1.31 จุด  ด้วยมูลค่าการซื้อขายรวม 54,546.06  ล้านบาท  ฝีมือนักลงทุนต่างชาติขาย 1,412.21ล้านบาท แลกมัดนักลงทุนไทยซื้อ 994.59 ล้านบาท พอร์ตบล.ร่วมด้วย 347.59 บาท และสถาบันไทยซื้อเล็กน้อย 70.03 ล้านบาท

ตลาดหุ้นไทยขึ้นไม่ไหว เจอแรงขายหุ้นใหญ่  นำโดย GULF ปิดที่ 45.25 บาท ร่วงลง 2.25  บาทหรือ -4.74%   DELTA ปิดที่ 143 บาท ลดลง 4.50 บาทหรือ- 3.05% มูลค่าซื้อขาย 1,950.60 ล้านบาท  และ ADVANC ปิดที่ 290 บาท ติดลบ 3 บาทหรือ-1.02% มูลค่าซื้อขาย 1,301.24 ล้านบาท ขณะที่มีแรงเก็งกำไรหุ้นที่จะได้รับอานิสงส์จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ล่าสุดจะนำโครงการ”คนละครึ่ง”กลับมาอีกครั้ง  หนุนหุ้นค้าปลีก อาหารและเครื่องดื่ม และไฟแนนซ์ นำโดย CPAXT ราคาปิดที่ 22.60 บาท บวก 2.80 บาทหรือ+14.14%  รวมถึง CBG ปรับขึ้นเด่นจากความกังวลต่อความขัดแย้งไทย–กัมพูชามีทิศทางคลี่คลาย

นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า หากรัฐบาลมีนโยบาย”คนละครึ่ง” ที่ชัดเจนลงมา พร้อมที่จะเดินหน้าโครงการได้เร็วสุดตั้งแต่เดือนต.ค.2568 เนื่องจากระบบมีความพร้อมอยู่แล้ว  ดำเนินการผ่านแอปพลิเคชั่น “เป๋าตัง” ส่วนเรื่องงบประมาณ ก็เชื่อว่าไม่มีปัญหาเช่นกัน หากเริ่มโครงการในวันที่ 1 ต.ค.2568 ก็จะใช้งบประมาณรายจ่ายปี 2569 ได้ทันที นอกจากนี้ยังมีงบกระตุ้นเศรษฐกิจอยู่อีกราว 2.5 หมื่นล้านบาท  สำหรับรายละเอียดในการสนับสนุนใช้จ่ายแบบ 50:50 หรือ 60:40 หรือ 70:30 นั้น  ต้องขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาล

ทางด้านนักวิเคราะห์ต่างมีมุมมองบวกต่อนโยบายของรัฐบาล “อนุทิน” รวมตัวโฉมหน้าครม.เศรษฐกิจ ล่าสุด “ศุภจี สุธรรมพันธุ์”ตอบรับนั่ง รมว.พาณิชย์แล้ว   โดยน.ส.ชุติกาญจน์ สันติเมธวิรุฬ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า หุ้นไทยขยับขึ้นด้วยความคาดหวังหลังได้รัฐบาลใหม่ ผลักดันนโยบาย ”คนละครึ่ง”ถือว่าเดินหน้าเร็ว ส่วนมาตรการแก้หนี้เป็นอีกเรื่องที่พยายามจะช่วยเหลือ และลดค่าครองชีพ รวมถึงลดค่าไฟ ส่วน 20 บาท รถไฟฟ้าตลอดสาย ไม่รู้จะทันหรือไม่ นอกจากนี้น่าจะมีมาตรการท่องเที่ยว และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน  ส่วนการลงทุนภาคเอกชน ได้ตัวช่วยจากแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ดังนั้นหุ้นในกลุ่ม Domestic น่าจะเล่นต่อไปได้ถึงการเลือกตั้งใหม่

ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยยังคงเป้าดัชนี SET ไว้ที่ 1,320 จุด คิด P/E 15 เท่า กำไรต่อหุ้น (EPS) 88 บาท/หุ้น

สำหรับหุ้นที่ลงทุนได้ ได้แก่  CPAXT, BJC, CBG กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ก็มีสัญญาณการฟื้น แม้ยังไม่เห็นมาตรการกระตุ้น แต่น่าจะได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยมีโอกาสปรับลงอีก และเศรษฐกิจเริ่มฟื้น ส่วนกลุ่มไฟแนนซ์ อย่างหุ้น MTC, KTC ก็ชอบ กลุ่มนิคมฯน่าสนใจ AMATA, WHA

“วันนี้เงินบาทแข็งค่ามากหลุด 32 บาท มาอยู่ที่ 31.8 บาท ทิศทางมีโอกาสที่จะแข็งค่าขึ้นต่อได้อีก  ผลจากเงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่า และ เงินไหลเข้าตลาดบอนด์  คาดจะเข้าตลาดหุ้นด้วย หากเงินบาทยังแข็งค่าต่อเนื่องอาจส่งผลกระทบต่อกลุ่มส่งออก  ซึ่งไตรมาส 3 กลุ่มส่งออกคาดว่าจะชะลอลงอยู่แล้ว”น.ส.ชุติกาญจน์กล่าว

กลุ่มไฟแนนซ์-ค้าปลีก เล่นยาวได้ถึงเลือกตั้งใหม่

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ลิเบอเรเตอร์ กล่าวว่า ในอีก 4-6 เดือนข้างหน้า เป็นระยะกลางที่จะมีการยุบสภา และเลือกตั้งใหม่ มองว่าในช่วงที่ยุบสภาตลาดจะชะลอการลงทุนตามหลักการ หลังจากนั้น จะดู Sentiment  มักจะมีความคาดหวังจากการเปลี่ยนแปลง  แต่ตลาดย่อลงมาก็มีแรงสู้ไม่เหมือนรอบก่อน รอบนี้ภาพการเมืองไม่ได้ทำลาย แต่ตลาดจะค่อย ๆ ขยับขึ้นไป  แม้เศรษฐกิจจะไม่ดีมาก แต่กลุ่มค้าปลีก กระตุกขึ้นได้

“4 เดือนนี้จัดว่าเป็นเฉพาะกิจของรัฐบาลชุดใหม่  จีงไม่หวังนโยบายอะไรมาก เพราะเข้ามาแค่ 4 เดือน  ดังนั้นเล่นกลุ่ม Domestic plays ช่วงนี้มองว่าเป็นช่วงโกยคะแนนเสียง เชื่อมโยงไปสู่การเลือกตั้งใหม่ จึงน่าจะโปรยยาหอมกลุ่มรากหญ้า ดังนั้น Domestic จึงกลับมา โดยเห็น 2 กลุ่มที่มีนัยยะ เป็นกลุ่มไฟแนนซ์ และกลุ่มค้าปลีก”

กลุ่มไฟแนนซ์ แม้จะยังไม่เห็นการลดอัตราดอกเบี้ย แต่การปลดล็อกรากหญ้ามากขึ้นจากการผ่อนคลายหนี้ และเม็ดเงินสะพัดมากขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และช่วงเลือกตั้งใหม่ ส่วนกลุ่มค้าปลีก ไตรมาส 3 คาดจะเห็น SSSG ดีขึ้นจากไตรมาส 2 ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้การจับจ่ายใช้สอยดีขึ้น คาดว่าจะเห็นนักลงทุนสถาบันเพิ่มน้ำหนักลงทุนหุ้นทั้งสองกลุ่มนี้

สำหรับกลุ่มไฟแนนซ์แนะนำหุ้น TIDLOR ราคาเป้าหมาย 22 บาท  ราคาถูกกว่าเพื่อน ส่วนหุ้น SAWAD ราคาเป้าหมาย 30 บาท  ราคาหุ้นมาไกลแล้ว หลังจากที่งบฯไตรมาส 2 ออกมาดีกว่าคาด ส่วน MTC ราคาเป้าหมาย 45 บาท าคาไม่ลงลึก การเด้งจึงไม่แรง และไม่เหวี่ยง แต่เป็นหุ้นที่ดี ภาพรวมสามารถเล่นได้ทั้งกลุ่ม

กลุ่มค้าปลีก แนะนำ CPALL ราคาเป้าหมาย 65 บาท เป็นหุ้น Laggard เทรด P/E แค่ 15 เท่า จากปกติจะเทรด 20 เท่า

กลุ่มโรงพยาบาลก็น่าสนใจลงทุน เพราะไตรมาส 3 เป็นช่วง High Season รวมถึงผู้ป่วยชาวคูเวตกลับมาในครึ่งปีหลัง  ตอนนี้กลุ่มโรงพยาบาลเล่น P/E กว่า 20 เท่า จากอดีตที่เล่นกันราว 30 เท่า ความเสี่ยงจีงไม่มาก พร้อมแนะนำ BH ราคาเป้าหมาย 200 บาท  ค่อนข้างถูก P/E แค่ 18 เท่า

บล.ดาโอฯเปิดหุ้นได้-เสียจากภารกิจเร่งด่วนรัฐบาล”อนุทิน”

บล.ดาโอ (ประเทศไทย)  มองบวกต่อ SET Index โดยเฉพาะการเร่งเดินหน้าแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ลดค่าครองชีพ ช่วยหนุนรายได้ประชาชน รวมถึงการลงทุนของภาครัฐ  ส่วนหุ้นที่มีโอกาส outperform มากที่สุด ได้แก่ CPAXT, CPALL, KTB, OSP, CBG, STECON

หุ้นที่ได้ประโยชน์จากภารกิจเร่งด่วนของรัฐบาลนายกฯอนุทิน ดังนี้ 1. โครงการคนละครึ่ง จะได้ประโยชน์โดยตรงจากการกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชน ผ่านโครงการ “คนละครึ่ง” และการลดค่าครองชีพ จะช่วยเพิ่มกำลังซื้อให้ดีขึ้น โดยหุ้นที่จะได้ประโยชน์ ได้แก่ CPAXT, CPALL, GLOBAL, DOHOME, KTB (แอฟเป๋าตัง)

2. กลุ่มอาหาร-เครื่องดื่ม – การเพิ่มกำลังซื้อของประชาชน จะส่งผลให้การบริโภคสินค้าอาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้น  หุ้นที่จะได้ประโยชน์ ได้แก่ OSP, CBG, SNNP, SAPPE

3. กลุ่มท่องเที่ยว – ส่งเสริมการท่องเที่ยวเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยหุ้นที่จะได้ประโยชน์ ได้แก่ ERW, CENTEL, AAV

4. กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง – การลงทุนโครงการก่อสร้างภาครัฐเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ  ได้แก่ STECON, CK

5. กลุ่มไอซีที – การปราบปรามภัยสังคมออนไลน์ ทำให้มีความต้องการลงทุน ด้าน Digital ID, Cyber Security, Data Center   ได้แก่ ADVANC, TRUE, BBIK

ส่วนกลุ่มที่อาจได้รับผลกระทบ ได้แก่ กลุ่มไฟฟ้าจากนโยบายลดค่าครองชีพผ่านการลดต้นทุนพลังงาน แนวโน้มค่าไฟยังเป็นขาลงจากราคา LNG ที่ลดลง ที่สำคัญ รมว.พลังงาน มีความเข้าใจอุตสาหกรรมเป็นอย่างดี คาดว่าการแทรกแซงค่าไฟฟ้าจะไม่มากไปกว่าปัจจุบัน

บล.ทิสโก้ คงเป้า SET 1,208 จุด เล็งเพิ่มเป้าปลายเดือนก.ย.

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล, CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ฝ่ายวิจัยยังคงเป้าดัชนี SET ปี 2568 ไว้ที่ 1,208 จุด คิด P/E 14.9 เท่า กำไรต่อหุ้น (EPS) 81.1 บาท/หุ้น ซึ่งมีโอกาสที่จะปรับเพิ่มเป้าดัชนี SET ในช่วงปลายเดือนก.ย.จากผลกำไรบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 2 ออกมาดีกว่าตลาดคาด โดยเฉพาะ THAI, SCC, GULF ที่มีรายการพิเศษเข้ามาจำนวนมาก

บล.หยวนต้าคงเป้า SET ที่ 1,275 จุด EPS 85 บาท/หุ้น

นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย)  กล่าวว่า ปีนี้คงเป้าหมายดัชนี SET ไว้ที่ 1,275 จุด คิด P/E 15 เท่า กำไรต่อหุ้น (EPS) 85 บาท/หุ้น ปีนี้คงจะไม่ปรับเป้าหมายดัชนีหุ้น แม้จะได้รัฐบาลใหม่  แต่ดำรงอยู่แค่ 4 เดือน ต้องเข้าสู่ขบวนการยุบสภา และเลือกตั้งใหม่