หุ้นไทย”ยังอยู่ในเรดาร์นักลงทุนทั่วโลก” กำไรบจ.-งบกระตุ้นศก.-ดบ.สหรัฐฯ-การเมืองหนุน

HoonSmart.com>>ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯชี้คุณสมบัติรัฐบาลใหม่ที่เป็นคุณต่อบรรยากาศการลงทุน ต้องเข้าใจกลไกเศรษฐกิจ ตลาดทุน ทีมแกร่ง พร้อมสานต่อนโยบาย New S-Curve ดันเศรษฐกิจโต ย้ำนักลงทุนทั้งไทย-เทศเริ่มเข้าใจการเมืองไทยมากขึ้น ปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนตลาดหุ้นไทยกลับเข้าสู่เรดาร์นักลงทุนทั่วโลกอีกครั้ง อยู่ที่พื้นฐานบจ. ที่ภาพยังเป็นบวก สภาพคล่องสูง ต้นทุนลดต่อเนื่อง กำไรยังโต ปันผล-ซื้อหุ้นคืนดีสุด หนุนมูลค่า+ผลตอบแทนเด่นในเอเชีย

นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์ทางการเมืองมีความชัดเจนขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งจากการพบปะกับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีความเข้าใจการเมืองไทยค่อนข้างสูง สิ่งที่นักลงทุนต้องการเห็นคือความชัดเจน

ขณะที่ รัฐบาลใหม่ที่จะเป็นคุณต่อบรรยากาศการลงทุน ต้องเข้าใจกลไกทางเศรษฐกิจ เข้าใจตลาดทุน มีการทำงานเป็นทีม และสานต่อนโยบายทางเศรษฐกิจด้านการเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจดั้งเดิมไปสู่เศรษฐกิจใหม่ หรือ New S-Curve, ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ให้ทันกับโลกยุคใหม่ เพื่อเพิ่มความสามารถด้านการแข่งขัน  ร่วมขับเคลื่อนตลาดทุนให้เป็นกลไกในการสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจในอนาคต และสานต่อโครงการ G-Token  ส่วนต่างตลาดหลักทรัพย์ฯยังเดินหน้า โครงการ Bond Connect Platform และโครงการอื่นๆ ตามแผน

ปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนตลาดหุ้นที่แท้จริงในระยะกลางถึงยาว คือพื้นฐานทางเศรษฐกิจยังดีอยู่ และบริษัทจดทะเบียน  ซึ่งปัจจุบันเรื่องอัตราภาษีทางการค้าของสหรัฐฯมีความชัดเจน ในขณะที่ตลาดหุ้นไทยยังมีพื้นฐานที่ดี ราคาหุ้นยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจ ยังมีโอกาสที่ปรับขึ้นไปได้อีกเมื่อเทียบกับตลาดอื่นๆที่มีการปรับตัวขึ้นไปก่อนหน้านี้เหล่านี้ทำให้หุ้นไทยยังอยู่ในสายตาของนักลงทุนต่างประเทศ จะเห็นว่าในช่วงที่ผ่านมามีเงินทุนไหลเข้ามาระดับหนึ่งแล้ว โดยรายได้บริษัทจดทะเบียน และ กำไร ที่ออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้

นอกจากนี้ บริษัทจดทะเบียนยังมีสภาพคล่องสูง เป็นยุคที่มีการจ่ายเงินปันผล และ การซื้อหุ้นคืนสูงมาก การควบคุมต้นทุนในการดำเนินงานดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ต้นทุนของบจ.ลดลงนับตั้งแต่วิกฤตโควิดถึงปัจจุบันดีขึ้นอย่างต่อเนื่องสิ่งที่เหลือ คือ การยกระดับความสามารถในการทำกำไรให้สูงขึ้นกว่าเดิม โดยต้องรอเวลาว่าหลังจากความชัดเจนทางด้านภาษีออกมาแล้วจะดีขึ้น

ขณะเดียวกัน ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ มีโครงการยกระดับความสามารถด้านการเติบโตของกำไรบจ.ผ่าน JUMP+ ที่ปัจจุบันมีบริษัทสนใจสมัครเข้ามาแล้ว 35 บริษัท เป็นบริษัทขนาดกลางและเล็ก จากบจ.ในตลาด เอ็ม เอ ไอ และ บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ สิ้นปีนี้จะเห็นแผนธุรกิจ และยังมีบริษัทที่อยู่ระหว่างเตรียมการภายในบริษัทอีกประมาณ 70 แห่ง และบริษัทที่แสดงความสนใจอีก 100 บริษัท ปีนี้น่าจะมีบริษัทเข้าร่วมโครงการ JUMP+ 50-100 บริษัทตามแผน

ส่วนหุ้นเข้าใหม่ หรือ หุ้น IPO ยังคงเดินหน้าตามแผน โดยมีบริษัทที่ได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) แล้ว 10 แห่งจากที่ยื่นทั้งหมด 18 แห่ง โดยมีบริษัทขนาดใหญ่ 2 แห่ง

ดร.ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจัยที่จะขับเคลื่อนตลาดทุนไทยหลักๆ ในช่วงที่เหลือของปี เป็นเรื่องของงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจที่ผ่านสภาฯแล้ว 1.57 แสนล้านบาท ,กำไรของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 3 จะดีขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาส 2 หรือไม่ และความต่อเนื่องของเงินไหลเข้า หลังจากมีการไหลออกช่วงไทยลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลของไทยและสหรัฐกว้างขึ้น  หากเฟดมีการลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 17 ก.ย.2568 ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ มีผลต่อเงินไหลเข้า

ปัจจุบัน จุดแข็งของตลาดหุ้นไทย คือ การจ่ายเงินปันผลที่สูงเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน และการเป็นตลาดที่มีบริษัทจดทะเบียนที่มีคะแนนของความยั่งยืนมากที่สุดในแถบนี้ ด้วยพื้นฐานเดิมๆ ที่มีอยู่ยังเดินต่อไปได้ สภาพคล่องในตลาดหุ้นไทยดีขึ้นมาก มีนักลงทุนรายย่อยเข้ามามากขึ้น จะเห็นได้จากมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยของเดือนส.ค.2568 อยู่ที่ 5 หมื่นล้านบาทต่อวัน มีสัดส่วนการเทรดของรายย่อยเพิ่มขึ้น 33%

ส.ค.เทรดสนั่นยอดพุ่ง 10.1%
สำหรับภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์เดือนส.ค. 2568 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันรวมของ SET และ mai อยู่ที่ 50,672 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตามในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันรวมฯ อยู่ที่ 43,011 ล้านบาท ลดลง 3.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนผู้ลงทุนต่างประเทศยังคงมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดที่ระดับ 51.47% ของมูลค่าการซื้อขายรวม แต่มีสถานะเป็นผู้ขายสุทธิ 21,816 ล้านบาท ซึ่งเป็นการกลับมาขายสุทธิหลังจากซื้อสุทธิในเดือนก่อนหน้าบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ซื้อขายใน mai 1 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ.โรงพยาบาลมุกดาหารอินเตอร์เนชั่นแนล (HANN)

มูลค่า+ผลตอบแทนหุ้นไทยยังดีในเอเชีย
Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นส.ค. อยู่ที่ระดับ 13.9 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 13.5 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 14.1 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 15.4 เท่า ด้านอัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นสิงหาคม อยู่ที่ระดับ 3.99% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.08%

กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2567 ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มการเงิน กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม และกลุ่มทรัพยากรปัจจัยบวกมาจากสัญญาณการผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) หลังนายเจอโรม พาวเวล ประธาน Fed ส่งสัญญาณถึงโอกาสการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.ย. 2568 ขณะที่ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนกรกฎาคมที่ขยายตัวต่ำกว่าคาด

อย่างไรก็ตาม เงินทุนต่างชาติไหลออกจากทั้งตลาดพันธบัตรและหุ้นไทย ท่ามกลางส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลของไทยและสหรัฐที่กว้างขึ้น หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เป็น 1.50% ต่อปี ส่งผลให้ดัชนี SET Index ในเดือนส.ค. 2568 ปรับตัวลงเล็กน้อย 0.5% จากสิ้นเดือนกรกฎาคม

มุมมองเศรษฐกิจดีขึ้นแม้จีดีพีชะลอตัว
ด้านสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยเป็น 2% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 1.8% ตามการเร่งส่งออกสินค้าก่อนที่ภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐฯ มีผลบังคับใช้ แม้ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในไตรมาส 2/2568 ขยายตัว 2.8% ชะลอลงจาก 3.2% ในไตรมาส 1/2568 ปัจจัยหลักจากการชะลอตัวของการผลิตนอกภาคเกษตร โดยเฉพาะกลุ่มบริการที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว

กำไรสุทธิไตรมาส 2/2568 ของบริษัทจดทะเบียนเติบโตต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียนที่มีผลการดำเนินงานดีกว่าคาดปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ ความสำเร็จของงาน Thailand Focus 2025 และผลตอบแทนหุ้น IPO ที่เริ่มฟื้นตัวในเดือนที่ผ่านมา สะท้อนถึงความน่าสนใจของตลาดหุ้นไทย

ณ สิ้นเดือนส.ค. SET Index ปิดที่ 1,236.61 จุด ปรับลดลง 0.5% จากสิ้นเดือนก่อนหน้า ถือเป็นการปรับลงเล็กน้อยหลังปรับเพิ่มขึ้นมากในเดือนก่อนหน้า ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปีถึงสิ้นเดือนสิงหาคม 2568 SET Index ปรับลดลง 11.7% จากสิ้นปีที่ผ่านมา

ภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 369,772 สัญญา เพิ่มขึ้น 4.1% จากเดือนก่อน ที่สำคัญจากการเพิ่มขึ้นของ Single Stock Futures และ SET50 Index Options ทำให้ในปี 2568 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 419,267 สัญญา ลดลง 13.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures และ Gold Online Futures

อ่านข่าวอื่นๆ : https://hoonsmart.com/archives/375524