HoonSmart.com>>หุ้นไทยปิดบวก 10.53 จุด หรือ+0.84% ต่างชาติดอดเข้าซื้อ 1,868 ล้านบาท เน้นหุ้นได้ประโยชน์เงินสะพัดเลือกตั้ง นักลงทุนรอวันโหวตนายกฯคนใหม่ สะพัดสำนักองคมนตรีตีกลับหนังสือ “ทูลเกล้าฯยุบสภา” หลังไม่ทำตามระเบียบ ด้านกกร.คาดเศรษฐกิจครึ่งปีหลังโตแค่ 1% ประเทศมีความเสี่ยงถูกลดอันดับเครดิต ด้านรมว.คลัง ยันสถานการณ์การเมืองจะไม่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น

วันที่ 3 ก.ย.2568 ตลาดหุ้นไทยโดดเด่นรับความชัดเจนการเมืองเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง ดัชนี SET ปิดที่ 1,259.31 จุด เพิ่มขึ้น 10.53 จุด หรือ+0.84% ด้วยมูลค่าซื้อขายรวม 44,707.38 ล้านบาท จากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติ 1,868.46 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนในประเทศขายทุกกลุ่ม นำโดยนักลงทุนไทย 1,126 ล้านบาท บัญชีหลักทรัพย์ 600.61 บาท และสถาบันขายสุทธิ 141.52 ล้านบาท
ด้านค่าเงินบาท ปิด 32.35/36 อ่อนค่าตามภูมิภาค ซึ่งตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ปรับลงเจอแรงกดดันความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีน
ตลาดหุ้นไทยบวกได้แรงซื้อหุ้นใหญ่ เช่น DELTA ปิดที่ 151 บาท เพิ่มขึ้น 4 บาทหรือ 2.72% รวมถึงหุ้นค้าปลีก ไฟแนนซ์ และหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเงินสะพัดในการเลือกตั้ง เช่น CPALL นักลงทุนยังคงติดตามการประชุมสภาฯ เพื่อโหวตนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ว่าจะเกิดขึ้นภายในสัปดาห์นี้หรือไม่ โดยนายฉลาด ขามช่วง รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ในฐานะประธานที่ประชุมหารือวิป 2 ฝ่าย กล่าวว่า ยังไม่มีข้อสรุป จะต้องรอนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร สรุป หากบรรจุระเบียบได้ภายในเวลา 16.30 น.วันนี้ จะสามารถโหวตนายกรัฐมนตรีได้อย่างเร็วสุด คือ วันที่ 5 ก.ย.ตามข้อบังคับ
บล.ธนชาต ระบุ การเมืองชัดเจนขึ้น ตลาดมองข้ามไปยังการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ เช้านี้พรรคประชาชนมีมติโหวตคุณอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) เป็นนายกฯ คนใหม่ ขณะเดียวกันฝั่งพรรคเพื่อไทย ระบุว่าได้ทูลเกล้ายุบสภาฯ แล้ว ถือว่าเริ่มเห็นความชัดเจนมากขึ้นต่อการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ หนุน SET ฟื้นตัวดี
อย่างไรก็ตามในช่วงเย็นวันนี้ มีข่าวสะพัด สำนักองคมนตรีตีกลับ หนังสือ “ทูลเกล้าฯยุบสภา” หลังไม่ทำตามระเบียบ และกฤษฎีกาแย้ง ไร้อำนาจ เลขาธิการครม.แจ้ง นายภูมิธรรม รับทราบแล้ว
ด้านนายผยง ศรีวณิช ประธานกรรมการสมาคมธนาคารไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) กล่าวว่า กกร.มีความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทย โดยคาดว่าครึ่งปีหลังจะขยายตัวเพียงประมาณ 1% และทั้งปี 2568 จะเติบโต 1.8-2.2% มูลค่าการส่งออกจะขยายตัวได้ 2-3% อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 0.5-1.0% ปัจจัยกดดันทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นจากความไม่แน่นอนทางการเมือง ซึ่งอาจกระทบการเบิกจ่ายงบประมาณ รวมถึงการขาดความเชื่อมั่นในการตัดสินใจลงทุนของภาคเอกชนในระยะข้างหน้า และมีความเสี่ยงที่ประเทศจะถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือสูงขึ้น
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวถึงกรณีที่กกร.ประเมินว่าเศรษฐกิจครึ่งปีหลังจะขยายตัวเพียง 1% ว่า คงประเมินโดยใช้ข้อมูลในช่วงก่อนมีข้อสรุปเรื่องอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งหลังจากสถานการณ์ชัดเจนขึ้นแล้วหลายสำนักต่างปรับประมาณการ ปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 2% เศษ เกือบทั้งหมด รัฐบาลยังเชื่อมั่นว่าจะสามารถผลักดันให้เศรษฐกิจปีนี้โตถึง 2.5%
ส่วนสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นขณะนี้นั้น นายพิชัย อยากให้มองว่าเป็นเรื่องธรรมชาติที่เกิดได้กับทุกประเทศ บางคนอาจเห็นว่าเป็นช่วงสุญญากาศทางการเมือง ซึ่งในกรณีของไทยสิ่งเหล่าเกิดขึ้นบ่อย จนคนทั่วไปรับรู้แล้วว่าเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ และในที่สุดจะสามารถคลี่คลายลงได้ จึงจะไม่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นแต่อย่างใด แม้กิจกรรมทางเศรษฐกิจอาจชะลอตัวลงบ้าง เพื่อรอดูความชัดเจน
สำหรับผลกระทบต่อการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศนั้น ยืนยันว่าข้อมูลของประเทศตอนนี้ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิม ขณะนี้เชื่อว่าทุกส่วนของรอดูว่าสถานการณ์จะจบอย่างไร และที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ก็จะเดาได้ว่าจะจบแบบไหน ดังนั้นเรื่องเสถียรภาพของไทย จึงมีลักษณะที่ไม่เหมือนประเทศอื่น และขณะนี้ยังไม่มีสัญญาการชะลอการลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติ
