ตลาดฯ เปิด 32 หุ้น พื้นฐานดี-ราคาเหมาะสม

ตลาดหลักทรัพย์ฯ มองวิกฤตเป็นโอกาสซื้อหุ้นชั้นดี เฟ้นหุ้น 32 ตัว พื้นฐานดี ผลตอบแทนส่วนผู้ถือหุ้น-กำไรเติบโตมากกว่า 10% ปันผลสูง เปิดข่าวดี เดือนธ.ค. ต่างชาติพลิกกลับมาซื้อหุ้นไทยแล้ว 2,883 ล้านบาท หลังจากทิ้งไปเฉียด 3 แสนล้านบาท ส่วนไอพีโอที่เข้ามาซื้อขายในตลาดช่วงปี 2560-2561 รวม 62 ตัว จำนวน 80% มีกำไรในวันแรก และมาถึงวันนี้ จำนวน 50-60% ให้ผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีอ้างอิงโดยรวม


นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นผันผวนได้รับปัจจัยลบจากปัจจัยต่างประเทศ ส่วนปัจจัยในประเทศมีความเข้มแข็ง เห็นได้จากการบริโภคและการลงทุนในประเทศเติบโต 5% มองว่าตลาดหุ้นที่ปรับตัวลงเนื่องจากผลทางจิตวิทยา เป็นโอกาสในการเลือกซื้อหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี แต่ราคาหุ้นปรับตัวลงตามภาวะตลาด ทั้งนี้ในช่วง 1 ปี ดัชนีหุ้นไทยจะปรับตัวลงเพียง 7.6% ในสกุลดอลลาร์สหรัฐ ถือว่าดีกว่าในหลายๆประเทศ เช่น จีนและเกาหลีปรับตัวลงแรงกว่า 20%

“ตลาดหลักทรัพย์ได้รวบรวมข้อมูล ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา(2559-2561)พบว่ามีหุ้น 32 บริษัท ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี โดยมีอัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) และอัตรากำไรสุทธิเติบโตมากกว่า 10% ต่อปี และอัตราผลตอบแทนเงินปันผลมากกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดอยู่ที่ 3.5% ขณะที่ราคาหุ้นเหล่านี้ปรับตัวลง จึงเป็นโอกาสในการเลือกซื้อหุ้นพื้นฐานดี ในราคาที่เหมาะสม”นายศรพล กล่าว

นอกจากนั้น นักลงทุนต่างชาติที่ขายหุ้นไทยจำนวนมาก เกือบ 3 แสนล้านบาทในปีนี้ เมื่อเดือนธ.ค.นักลงทุนต่างชาติพลิกกลับมาซื้อหุ้นไทยแล้ว 2,883 ล้านบาท ถือเป็นสัญญาณที่ดี ที่เม็ดเงินเริ่มกลับเข้ามาลงทุนแล้ว

ส่วนกระแสหุ้นที่เสนอขายหุ้นให้นักลงทุนครั้งแรก(ไอพีโอ)เข้าตลาดแล้วให้ผลตอบแทนไม่ดี นายศรพลกล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ได้จัดทำข้อมูลหลักทรัพย์ที่เข้ามาซื้อขายในตลาดช่วงปี 2560-2561 รวม 62 ตัว พบว่าหลักทรัพย์จำนวน 80% มีกำไรในวันแรกเข้าซื้อขาย และมาถึงวันนี้ จำนวน 50-60% ให้ผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีอ้างอิงโดยรวม แต่ยอมรับว่ามีหลักทรัพย์บางตัวที่ราคาปรับตัวลงมาก อาจจะเป็นเพราะเหตุผลเฉพาะของบริษัทแห่งนั้นเอง

” ปี 2560 มีหลักทรัพย์เข้าใหม่ 42 ตัว ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มี 21 ตัวที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาด แต่ก็มีจำนวน 21 ตัวเช่นกันที่ให้ผลตอบแทนแย่กว่าตลาด ส่วนหลักทรัพย์ที่เพิ่งเข้าในปี 2561 จำนวน 20 ตัว พบว่า จำนวน 20 หลักทรัพย์ที่สามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าตลาด ส่วนที่เหลือ 8 ตัว แบ่งเป็น 3 ตัว แย่กว่าตลาดในช่วง 0- 10 % 3 ตัวแย่กว่าตลาด 10-20% และที่เหลือ 2 ตัว ขาดทุนไม่เกิน 20% “นายศรพลกล่าว

สำหรับรายชื่อหุ้น 32 บริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานดีอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ได้แก่ บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (TISCO) บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ (QH) บริษัท ไทยเซ็นทรัลเคมี (TCCC) บริษัท อุตสาหกรรมถังโลหะไทย (TMD) บริษัท ทิพยประกันภัย (TIP)บริษัท แม็คกรุ๊ป (MC) บริษัท เอสพีซีจี (SPCG) บริษัท ไดนาสตี้เซรามิค (DCC)

บริษัท ทีทีดับบลิว (TTW) บริษัท ที.เค.เอส. เทคโนโลยี (TKS) บริษัท ไทยเทพรส (SAUCE) บริษัท ทักษิณคอนกรีต (SCP) บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก (EASTW) บริษัท ทุนธนชาต (TCAP) ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC)

บริษัท พรีบิลท์ (PREB) บริษัทจัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล (JAS) บริษัท พาโตเคมีอุตสาหกรรม (PATO) บริษัท เอ็ม.ซี.เอส.สตีล (MCS) บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) หรือ MBKET บริษัท กรุงไทยคาร์เร้นท์ แอนด์ ลีส (KCAR) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี (MFC) บริษัท เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (ASP)

บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ (INTUCH) บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) หรือ KGI ธนาคารเกียรตินาคิน (KKP) บริษัท โกลว์ พลังงาน (GLOW) บริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH) และบริษัท เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง (ASK) บริษัท อลูคอน (ALUCON) และบริษัท ไทยรีประกันชีวิต (THREL)