HoonSmart.com>>กกร.คาดเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังส่อโตแค่ 1% ห่วงแรงกดดันจากการเมือง-เศรษฐกิจโลก เสี่ยงประเทศถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือสูง เหตุเอสเอ็มอีเปราะบางหนัก คนว่างงานพุ่ง 2.1 ล้านคน ค่าเงินบาทแข็งสวนปัจจัยพื้นฐาน เสนอรัฐลดภาษีที่ดิน 50% ปีหน้า ตั้งกองทุนลงทุนต่างประเทศ พร้อมเร่งอัปสกิลแรงงานฟื้นเศรษฐกิจฐานราก
นายผยง ศรีวณิช ประธานกรรมการสมาคมธนาคารไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) สรุปผลการประชุมร่วมกับ นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ว่า กกร.มีความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง โดยคาดว่าครึ่งปีหลังของปี 2568 เศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวเพียงประมาณ 1% และทั้งปี 2568 GDP จะขยายตัว 1.8%-2.2% ปัจจัยกดดันทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นจากความไม่แน่นอนทางการเมือง ซึ่งอาจกระทบการเบิกจ่ายงบประมาณ รวมถึงการขาดความเชื่อมั่นในการตัดสินใจลงทุนของภาคเอกชนในระยะข้างหน้า และมีความเสี่ยงที่ประเทศจะถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือสูงขึ้น

ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา มีผู้เสมือนว่างงานอยูที่ 2.1 ล้านคน สูงขึ้นราว 5% จากปีก่อน และภาคการท่องเที่ยว ภาคก่อสร้างและอสังหาฯ และภาคเกษตรชะลอตัว ความเปราะบางของผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก(เอสเอ็มอี) เห็นได้ชัดจากยอดค้างชำระหนี้เกิน 90 วันที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ขนาดเล็กที่ยอดคงค้างสินเชื่อไม่เกิน 100 ล้านบาท

กังวลงค่าเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ยังกังวลเรื่องค่าเงินบาทแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง สวนทางกับพื้นฐานเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยค่าเงินบาท กลับมีความสัมพันธ์กับราคาทองคำที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันยังขาดข้อมูลเชิงลึกเพื่อทำความเข้าใจถึงผลกระทบของธุรกรรมทองคำและคริปโตฯ รวมถึงการโอนเงินกลับประเทศของแรงงานต่างด้าวที่ไม่ผ่านช่องทางในระบบ ทำให้การเกินดุลการชำระเงินกว่าครึ่งไม่สามารถจำแนกได้ชัดเจน (Errors & Omissions)
ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญกับการแยกแยะและวิเคราะห์ผลกระทบของธุรกรรมทองคำต่อภาคเศรษฐกิจ (Real Sector) รวมถึงปรับปรุงและแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างเพื่อทำให้เกิดความสมดุลมากขึ้น เช่น พิจารณากลไกลงทุนต่างประเทศ ผ่านกองทุน Sovereign Wealth Fund
กกร.เสนอให้รัฐบาลพิจารณาปรับลดหรือผ่อนปรนภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างไม่น้อยกว่า 50% ในปี 2569 หรือจนกว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว เพื่อบรรเทาภาระต้นทุน เสริมสภาพคล่อง ลดความเสี่ยงจากการปิดกิจการ และกระตุ้นการหมุนเวียนเศรษฐกิจฐานรากด้วยการจ่ายอัตราค่าจ้างตามทักษะฝีมือแรงงาน (Pay by Skills) ตามประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน มากกว่าการปรับขึ้นค่าจ่างขั้นต่ำ รวมทั้งให้ความสำคัญกับการ UP-Skill & Re-Skill , Multi-Skill และ New Skill เพื่อสร้างแรงงานที่มีทักษะฝีมือให้สอดคล้อง กับความต้องการของตลาดแรงงาน และเพิ่มผลิตภาพแรงงาน (Labor Productivity) สามารถ ลดต้นทุนและสร้างความสามารถในการแข่งขัน
