HoonSmart.com>>ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้ง 3 ดัชนีหลักปิดร่วง ดาวโจนส์ลบ 249 จุด อัตราผลตอบแทนพันธบัตรเพิ่มขึ้น นักลงทุนกังวลความไม่แน่นอนของภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ด้าน “ราคาน้ำมันดิบ” ปรับตัวเพิ่มขึ้น ฟาก “ตลาดหุ้นยุโรป” ปิดลบ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA) วันที่ 2 กันยายน 2568 รวมทั้ง ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ร่วงลงจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่เพิ่มขึ้นและความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
ดัชนีดาวโจนส์ ปิดที่ 45,295.81 จุด ลดลง 249.07 จุด, -0.55%
ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,415.54 จุด ลดลง 44.72 จุด หรือ -0.69% และ
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 21,279.63 จุด ลดลง 175.92 จุด หรือ -0.82%
ตลาดหุ้นร่วงลง แต่ปิดตลาดพ้นจากระดับต่ำสุดในรอบวัน ถือเป็นเดือนที่มีการซื้อขายแย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของปี ในขณะที่นักลงทุนจับตากรายงานการจ้างงานที่สำคัญ ซึ่งอาจส่งผลต่อการคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ย
นักลงทุนต่างเทขายทำกำไรจากหุ้นที่ปรับขึ้นในช่วงที่ตลาดกระทิง หุ้น Nvidia ลดลงประมาณ 2% ขณะที่บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อื่นๆ อย่าง Amazon และ Apple
ลดลงประมาณ 1%
ประเด็นสำคัญที่ผลต่อตลาดคือ คำตัดสินศาลอุทธรณ์ของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ เมื่อวันศุกร์ที่ว่าการเก็บภาษีศุลกากรทั่วโลกส่วนใหญ่ของทรัมป์นั้นผิดกฎหมาย ศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ ประจำเขตอำนาจศาลกลางสหรัฐฯ ได้ตัดสินด้วยคะแนนเสียง 7 ต่อ 4 เสียงว่ามีเพียงรัฐสภาเท่านั้นที่มีอำนาจในการเรียกเก็บภาษีศุลกากรแบบวงกว้าง ทรัมป์กล่าวว่าเขาจะยื่นอุทธรณ์คำตัดสินดังกล่าวต่อศาลฎีกาสหรัฐฯ
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวสูงขึ้น โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 30 ปีพุ่งขึ้น มาที่ 4.97% และใกล้ระดับสำคัญที่ 5% เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม โดยทั่วไปแล้ว ระดับนี้ถือเป็นปัจจัยลบต่อตลาดหุ้น ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีพุ่งขึ้น มาที่
4.27% นักลงทุนในพันธบัตรผลักดันให้ผลตอบแทนสูงขึ้นจากแนวโน้มที่สหรัฐฯ อาจต้องคืนเงินหลายพันล้านดอลลาร์ที่นำเข้ามาจากภาษี ส่งผลให้สถานการณ์การคลังของประเทศที่ตึงเครียดอยู่แล้วเลวร้ายลงไปอีก
รอสส์ เมย์ฟิลด์ นักกลยุทธ์การลงทุนจาก Baird Private Wealth Management กล่าวกับ CNBC อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 30 ปีที่ 5% ถือเป็นอุปสรรคต่อตลาด และจะยังคงเป็นประเด็นกดดันหุ้นที่ซื้อขายกันในราคาที่ค่อนข้างสูง
นอกจากนี้ตลาดจะเจอกับบททดสอบสำคัญจากการรายงานการจ้างงานประจำเดือนสิงหาคมที่จะประกาศในวันศุกร์นี้ และก่อนหน้านั้นจะมีตัวเลขตำแหน่งงานว่างและรายงานการจ้างงานภาคเอกชนออกมา
ขณะเดียวกัน รายงานล่าสุดเมื่อวันอังคารแสดงให้เห็นว่าภาคการผลิตของสหรัฐฯ หดตัวเป็นเดือนที่หกติดต่อกันในเดือนสิงหาคม
ขณะนี้ ตลาดคาดการณ์โอกาสประมาณ 90% ที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในเดือนกันยายน แต่ข้อมูลในสัปดาห์นี้อาจช่วยสนับสนุนให้มีการผ่อนคลายนโยบายการเงินที่มากขึ้น
พัฒนาการเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการเริ่มต้นเดือนซื้อขายใหม่ เดือนกันยายนถือเป็นเดือนที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์สำหรับตลาดหุ้น โดยดัชนี S&P 500 ปรับตัวลดลงเฉลี่ย 4.2% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และลดลงเฉลี่ยมากกว่า 2% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 1 เดือน หลังจากเกิดการเทขายหุ้นในวงกว้าง อันเนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่นักลงทุนเริ่มมีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับแรงกดดันทางการคลังในเศรษฐกิจทั่วโลก
หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ยเป็นหุ้นที่ฉุดดัชนีมากที่สุด โดยลดลง 3.5% สู่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 5 เดือน
ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 543.17 จุด ลดลง 8.26 จุด, -1.50%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,116.69 จุด ลดลง 79.65 จุด, -0.87%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,654.25 จุด ลดลง 53.65 จุด, -0.70%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 23,487.33 จุด ลดลง 550.00 จุด, -2.29%
นักลงทุนกังวลเกี่ยวกับความยั่งยืนของหนี้ของหลายประเทศในยุโรปและทั่วโลก ส่งผลให้เกิดการเทขายพันธบัตรเยอรมนีและฝรั่งเศสระยะยาว
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรเยอรมนีอายุ 30 ปี พุ่งสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2011 ขณะที่พันธบัตรฝรั่งเศสพุ่งสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2009 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับราคา
ยุโรปมีแผนออกพันธบัตรมูลค่ากว่า 1 แสนล้านยูโร (1.17 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในเดือนกันยายนและตุลาคม
พรรค National Rally ของพรรคฝ่ายขวาจัดของฝรั่งเศสกำลังเตรียมพร้อมสำหรับความเป็นไปได้ที่จะมีการเลือกตั้งกะทันหัน หลังจากที่เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาได้กล่าวว่า จะโค่นล้มรัฐบาลเสียงข้างน้อยในการลงมติไม่ไว้วางใจในวันที่ 8 กันยายน
หุ้นกลุ่ม STOXX 600 เกือบทั้งหมดซื้อขายในแดนลบ ยกเว้นดัชนีกลุ่มสินค้าหรูทั่วทั้งภูมิภาคที่เพิ่มขึ้น 0.5% หลัง HSBC ปรับเพิ่มคำแนะนำลงทุนจาก “ถือ” เป็น “ซื้อ” ราคาหุ้น Kering เพิ่มขึ้น 3.8% และ LVMH เพิ่มขึ้น 1.8%
ในบรรดาหุ้นรายตัว Nestle บริษัทอาหารยักษ์ใหญ่สัญชาติสวิส ลดลง 0.7% หลังจากที่โลรองต์ เฟรย์เซ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารถูกปลดออกจากตำแหน่งเนื่องจากไม่ได้เปิดเผยความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับผู้ใต้บังคับบัญชา
หุ้น Ferrari เพิ่มขึ้น 1.9% จากที่ Deutsche Bank ปรับเพิ่มคำแนะนำลงทุนผู้ผลิตรถสปอร์ตรายนี้จาก “ถือ” เป็น “ซื้อ”
ขณะเดียวกัน ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าอัตราเงินเฟ้อในยูโรโซนเพิ่มขึ้น 2.1% ในเดือนสิงหาคมเมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งใกล้เคียงกับเป้าหมาย 2% ของธนาคารกลางยุโรป (ECB) และตอกย้ำการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในการประชุมสัปดาห์หน้า
อิซาเบล ชนาเบล ผู้กำหนดนโยบาย กล่าวกับรอยเตอร์สว่า ECB ควรคงอัตราดอกเบี้ยไว้ เนื่องจากเศรษฐกิจยูโรโซนยังคงแข็งแกร่งแม้ต้องเผชิญกับมาตรการภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ และอัตราเงินเฟ้ออาจสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้
ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนตุลาคม เพิ่มขึ้น 1.58 ดอลลาร์ หรือ 2.47% ปิดที่ 65.59 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลและราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้น 99 เซนต์ หรือ 1.45% ปิดที่ 69.14ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
———————————————————————————————————————————————————–

