HoonSmart.com >> ตลาดหุ้นตกใจเล็กน้อย -13 จุด หลังศาลรธน. วินิจฉัย “แพทองธาร ชินวัตร” ขาดคุณสมบัติสิ้นสุดการเป็นนายก จับตาช่วงวันหยุดพรรคไหน ขั้วไหน แกนนำตั้งรัฐบาล และว่าที่นายก ฯ คนใหม่ โบรกเกอร์ชี้หากยืดเยื้อ SET มีสุทธิหลุด 1,200 จุด แต่ถ้าเร็วหุ้นมีอัพไซด์
ตลาดหุ้นวันที่ 29 ส.ค. 2569 ปิดตลาดปรับตัวลงไม่มาก หลังศาลรธน. ตัดสินให้ “แพทองธาร ชินวัตร” พ้นการเป็นนายก ฯ และครม.ทั้งชุดสิ้นสภาพ SET ปิดที่ 1,236.61 จุด ลดลง 13.48 จุด มูลค่าซื้อขาย 52,475.14 ล้านบาท
ต่างชาติขายอีก -3,951.74 ล้านบาท , กองทุนขาย -109 ล้านบาท , พอร์ตโบรกเกอร์ซื้อ + 395 ล้านบาท และรายย่อยซื้อ +3,666 ล้านบาท
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ กล่าวว่า ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่า “แพทองธาร ชินวัตร” นายกฯ ขาดคุณสมบัติ จนต้องสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรี เป็นภาพเชิงลบต่อเสถียรภาพทางการเมืองในช่วงแรก และอาจทำให้การตั้งคำถามของนักลงทุนต่างชาติกลับมาอีกครั้ง จนนำมาสู่การชะลอการลงทุนในระยะยาว และทำให้นักลงทุนต่างชาติที่เคยออกจากตลาดไปก่อนหน้านี้โดยเฉพาะกองทุนขนาดใหญ่ต่าง ๆ ยังไม่รีบตัดสินใจเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย หากผลลัพธ์ออกมาในกรณีนี้
ช่วงถัดไปแนะนำติดตามการเคลื่อนไหวของกลุ่มพรรคการเมืองต่าง ๆ ซึ่งหากมีความพยายามชิงชัยตำแหน่งนายก ฯ กัน อาจทำให้กระบวนการเลือกนายกฯ มีความยืดเยื้อ จนทำให้ครม.รักษาการอยู่ในหน้าที่ยาวนานเกินไป ซึ่งมักเป็นสิ่งที่นักลงทุนไม่ชื่นชอบนัก และจะทำให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวเข้าสู่ภาวะสุญญากาศหรือ Overhang ได้ แม้ในกรณีนี้จะไม่ได้มีผลกระทบใดๆต่อพ.ร.บ.งบประมาณปี 69 ซึ่งน่าจะถูกผลักดันออกมาได้เป็นกฎหมายในไม่ช้านี้
อย่างไรก็ดี หากกระบวนการเลือกนายกฯ คนใหม่ สามารถทำได้อย่างรวดเร็วภายใน 1 เดือน เชื่อว่าจะเป็นสิ่งที่นักลงทุนในตลาดยอมรับได้ และจะทำให้ภาพของ SET Index ไม่ได้เผชิญกับแรงกดดันมากนัก
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้ กล่าวว่า คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ให้ นายก ฯ พ้นจากตำแหน่ง เป็นไปตามคาดที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ไม่ได้สร้างควา ตกใจให้กับตลาดมากนัก เพราะมีการรับรู้ไปแล้วประมาณ 70 – 80% เห็นได้จากวันที่ 29 ส.คหุ้นไทยปิดที่ 1,236.61 จุด ลดลง 13.38 จุด และดัชนีหุ้นไทย มีแนวโน้มจะปรับตัวลดลงได้อีก แต่ไม่มาก
ช่วงที่เหลือของปี น้ำหนักการขับเคลื่อนตลาดทุนไทยไปอยู่ที่งบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท และ กำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่ออกมา มีการเติบโต อย่างแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีที่แล้ว
ทั้งนี้ บจ. ที่ประกาศงบออกมา รวมแล้ว 685 บริษัท จัดทั้งหมด 708 บริษัท มีผลประกอบการไตรมาส 2 เติบโต 29.8% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีที่แล้ว และ งวด 6 เดือนแรกปี 2561 เติบโต 18.2% เป็นงบรวมการรับรู้รายการพิเศษแล้ว
สำหรับ อัพไซต์ของดัชนี ขึ้นอยู่กับนายกรัฐมนตรีคนใหม่ คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ และระยะเวลาในการจัดตั้งรัฐบาล
นอกจากนี้ ยังมีเงินทุนไหลเข้าในช่วงที่เหลือของปี ว่าจะเข้ามามากน้อยแค่ไหน ผนวกกับเม็ดเงินลงทุนทางตรงที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และประสิทธิภาพของการใช้งบกระตุ้นเศรษฐกิจ เป็นปัจจัยสนับสนุนตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปี
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล, CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวเสริมว่า ประเมินการเลือกตั้งนายกฯ และจัดตั้งรัฐบาลใหม่ หากมีความราบรื่นจะใช้ระยะเวลาประมาณ 1 เดือน หากไม่ราบรื่น การโหวตเลือกนายกฯอาจจะไม่เกิดขึ้นในสัปดาห์หน้า อย่างไรก็ดี ตลาดได้รับรู้ประเด็นนี้ไปแล้ว
สัปดาห์หน้า (1-5 ก.ย.) ทิศทางตลาดหุ้นไทย คาดว่า ดัชนีฯ เคลื่อนไหว Sideway ถึง Sideway Down หากเลือกนายกฯ ได้สัปดาห์หน้า แนวรับจะอยู่ที่ 1,230 จุด แต่ถ้าไม่จบ แนวรับจะอยู่แถว 1,220-1,200 จุด ส่วนแนวต้านให้ไว้ที่ 1,260-1,270 จุด
สำหรับภาพการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ มีโอกาสเป็นลบต่อเนื่อง ซึ่งเห็นมาตั้งแต่ครึ่งหลังเดือนส.ค.จากความไม่แน่นอนทางการเมือง
———————————————————————————————————————————————————–

