HoonSmart.com>> 50 ปีตลาดหลักทรัพย์ฯ ผ่านสายตากูรูวิเคราะห์หุ้นร่วมสมัย “ไพบูลย์ นลินทรางกูร” อดีตนักวิเคราะห์หุ้นผู้คร่ำหวอดในวงการตั้งแต่อายุ 25 ปี จนถึงตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้ ในปัจจุบัน เล่าย้อนประสบการณ์จากยุคที่ข้อมูลแทบไม่มี มาถึงยุคเอไอ ที่นักวิเคราะห์ยังเป็นเบอร์ 1 ด้านความแม่นยำในการทำนายอนาคต
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
บล.ทิสโก้ กล่าวในงานเสวนา ” ครั้งหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ฯ หัวข้อ “50 ปีตลาดหลักทรัพย์ในมุมมองของกูรูวิเคราะห์หุ้นร่วมสมัย”ถึงประสบการณ์ของการเป็นนักวิเคราะห์ตลอดช่วงครึ่งศตวรรษในตลาดทุนไทย ว่า บริบทเศรษฐกิจ สังคม และเครื่องมือการวิเคราะห์ เปลี่ยนแปลงไป ผลักดันให้นักวิเคราะห์พัฒนาความสามารถเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“30 ปีก่อน เราเองก็ยังใหม่ ข้อมูลก็ไม่ครบเหมือนวันนี้ ผมเริ่มต้นชีวิตการทำงานในตลาดหุ้นตอนอายุ 25 ปี ช่วงปี 2534 ยุคที่ข้อมูลแทบไม่มี หายากมาก ก่อนย้ายไปสังกัดบริษัทหลักทรัพย์ต่างชาติ และถูกส่งไปฝึกอบรมในต่างประเทศ ก่อนกลับมาเซ็ททีมงานวิเคราะห์ที่ทิสโก้”นายไพบูลย์ กล่าว
นายไพบูลย์ กล่าวว่า ในยุคนั้น นักลงทุนไทยยังไม่สนใจงานวิจัย บทวิเคราะห์ส่วนใหญ่เขียนเพื่อนักลงทุนต่างชาติ และจัดทำโดยบริษัทหลักทรัพย์ต่างประเทศ แล้วแปลมาให้คนไทยอ่าน แต่คนไทยก็ยังไม่ค่อยอ่าน
ขณะที่ข้อมูลบริษัทจดทะเบียน มีเพียงงบการเงินเล่มบางๆ ของบริษัทแม่ ที่ยังไม่รวมงบของบริษัทย่อยเข้ามา บริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ก็ยังไม่ได้ให้ความสำคัญในการให้ข้อมูลแก่นักวิเคราะห์ บางบริษัทที่มีขนาดใหญ่สมัย 30 ปีที่แล้วเปิดให้เข้าพบปีละ 1 ครั้งเท่านั้น
จุดเปลี่ยนจากวิกฤต
จุดเปลี่ยนสำคัญ คือช่วงวิกฤตการเงินปี 2540 ส่งผลให้สถาบันการเงิน 56 แห่งต้องปิดตัว เหลือ 2 บริษัทที่รอด นักวิเคราะห์ไปหาสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อให้ออกกฎเกณฑ์บังคับว่า บริษัทหลักทรัพย์ต้องมีนักวิเคราะห์ประจำอย่างน้อย 4 คน และต้องเผยแพร่งานวิจัยอย่างต่อเนื่อง บทวิเคราะห์จึงเริ่มเข้าถึงนักลงทุนรายย่อยมากขึ้น จากเดิมที่ไม่ได้บังคับว่าโบรกเกอร์ต้องมีนักวิเคราะห์
“รายย่อยเริ่มมาอ่านบทวิเคราะห์กันมากก็ช่วง 15 ปีที่ผ่านมา ส่วนผมขึ้นมาเป็นผู้บริหารตั้งแต่อายุ 40 ก็ไม่ได้ทำงานวิเคราะห์แล้ว”นายไพบูลย์ กล่าว
ยุคใหม่ของการวิเคราะห์
ปัจจุบัน มีการทำบทวิเคราะห์มากขึ้น ครอบคลุมบริษัทจดทะเบียน 200 บริษัท แต่ก็ยังน้อยเมื่อเทียบกับบริษัทในตลาดกว่า 800 บริษัท ซึ่งยุคนี้ บริษัทจดทะเบียนมีการจัดเตรียมข้อมูลไว้ให้กับนักวิเคราะห์ด้วย และมีเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยให้นักวิเคราะห์สามารถจัดการกับข้อมูลมหาศาลได้ง่ายขึ้น แม้จะยังไม่สามารถทำนายอนาคตได้แม่นยำเหมือนมนุษย์
ขณะที่นักลงทุนไทยยุคปัจจุบันเก่งขึ้นมาก ผลักดันให้นักวิเคราะห์ต้องยกระดับความรู้ความสามารถ และมุ่งสู่การเป็นนักวิเคราะห์ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านมากขึ้น อย่างที่ตลาดทุนในต่างประเทศเกิดขึ้นแล้ว
วันนี้งานวิเคราะห์มีการผสมผสานระหว่างเทคนิคเคิล และปัจจัยพื้นฐาน ในอดีตมาใช้ร่วมกัน ทำให้เห็นภาพแนวโน้มอนาคตชัดขึ้น จากอดีตแยกกันชัดเจนระหว่างนักวิเคราะห์สายปัจจัยพื้นฐาน และสายเทคนิเคิล แต่นักลงทุนรายย่อยอ่านบทวิจัยแล้ว ต้องคิดเองต่อว่าเห็นด้วยไหม และตัดสินใจเอง
ขณะที่นักลงทุนสถาบัน นอกจากจะมีนักวิเคราะห์ ทำการวิเคราะห์หุ้นเองแล้ว ยังใช้นักวิเคราะห์จากโบกเกอร์ข้างนอก ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเป็น 10 บริษัท เพราะต้องการความรู้ และโฟล์วทางความคิดในการผลิตงานวิจัยที่หลากหลาย
แนะนำให้นักลงทุนมี 2 พอร์ตลงทุน
นายไพบูลย์ กล่าวว่า นักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นไทยปัจจุบันเป็นกลุ่มคนรุ่นเก่าที่อยู่ในตลาดมานาน ส่วนคนรุ่นใหม่ไปลงทุนหุ้นต่างประเทศ ไปเทรดคริปโตฯ ซึ่งถือว่าดีเพราะเป็นการเรียนรู้เรื่องการลงทุน โดยแนะนำให้มีพอร์ต 2 พอร์ต ได้แก่
1.พอร์ตเทรดสั้น เพื่อซื้อขายตามกระแสข่าว เก็งกำไร
2.พอร์ตลงทุนระยะยาว ในยุคที่เศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงโตต่ำ GDP โตระดับ 2% หาหุ้นเติบโต หรือ หุ้น Growth ไม่มี แม้ว่าบริษัทจดทะเบียน 90% ยังมีกำไรแต่น้อย เงินสดยังแข็งแกร่ง สามารถลงทุนได้แต่ต้องเป็นหุ้นปันผลและบริษัทที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง
รวมถึง DR ก็เป็นทางเลือกในการลงทุนในหุ้นต่างประเทศผ่านตลาดหุ้นไทย ที่ครอบคลุมตลาดหุ้นหลักๆของโลก
“ในช่วงที่เศรษฐกิจโตต่ำการคาดหวังผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้น 4-5% ยังได้อยู่ โดยหุ้นปันผลดีๆ จ่ายสูงถึง 6% เมื่อรวมกับหุ้นบางตัวที่ขาดทุน ถัวเฉลี่ยแล้วผลตอบแทนจะอยู่ประมาณ 4-5% “นายไพบูลย์ กล่าว
นายไพบูลย์ กล่าวว่า ในช่วงที่ตลาดหุ้นโตต่ำควรจะมีการแบ่งพอร์ตไปลงทุนในต่างประเทศด้วย ซึ่งคาดหวังผลตอบแทนขั้นต่ำ 10% ได้ เพราะเศรษฐกิจในต่างประเทศมีการเติบโตค่อนข้างสูง โดยเฉพาะในประเทศเพื่อนบ้านต่อปี GDP โตปีละ 7% สูงกว่าไทย 3-4 เท่า ซึ่งจะใช้เวลาแค่ 2-3 ปีก็แซงหน้าไทยไปได้แล้วเช่นที่ เวียดนาม เป็นต้น ซึ่งสามารถลงทุนผ่าน DR ได้ อาจจะถือเงินสดในรูปของเงินฝาก 30-40%
อย่างไรก็ตาม จากการที่ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นว่าเศรษฐกิจไทยมีปัญหาเชิงโครงสร้างและทุกคนพุ่งเป้าที่จะพยายามแก้ไข
รวมถึงผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ฯมีการเดินทางไปดูงานที่ตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่เคยประสบความสำเร็จในการปรับปรุงบริษัทจดทะเบียนจนทำให้ดัชนีขยับจาก 10,000 จุดไปถึง 40,000 จุดเพื่อที่จะนำมาปรับปรุงตลาดหุ้นไทย
ทำให้ ตลาดหุ้นไทยยังมีความหวัง ถ้าสามารถปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้มีธุรกิจโลกใหม่เพิ่มขึ้น และดึงธุรกิจใหม่ๆเข้ามาในตลาดหุ้นได้ ถ้าไม่แก้ไขมีโอกาสที่เงินทุนจะไหลไปประเทศอื่นที่เศรษฐกิจเติบโตดีกว่า
เตือนคิดให้รอบ
นายไพบูลย์ เตือนนักลงทุนให้รับข้อมูลหรืองานวิจัยจากนักวิเคราะห์ที่มีคุณภาพ เพราะปัจจุบันมีทั้งยูทูปเบอร์ influencer แล้วก็ไอดอลต่างๆที่มาให้คำแนะนำด้านการลงทุน แล้วก็มีการวิเคราะห์หุ้นอย่างแพร่หลาย
ขณะที่ นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ที่มีกฎระเบียบต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
นักลงทุนต้องใช้ข้อมูลรอบด้าน อย่าเชื่อทันที แม้ว่าจะเป็นข้อมูลของนักวิเคราะห์จากโบรกเกอร์ ให้นำไปคิด วิเคราะห์ต่อ เพื่อหาคำตอบในการตัดสินใจที่เหมาะสมให้กับตัวเอง
นักวิเคราะห์รุ่นใหม่สบายใจเอไอยังแทนที่ไม่ได้

นายอัตฐพล ทิศายุกตะ นักวิเคราะห์จากบล.ทิสโก้ ซึ่งเชี่ยวชาญกลุ่มบริการ และเป็นนักวิเคราะห์รุ่นใหม่ มีประสบการณ์งานวิเคราะห์ 9 ปี กล่าวว่า การทำงานทุกวันนี้แทบจะ “24 ชั่วโมง” เพราะข้อมูลมาจากทั่วโลกและจากหลายแพล็ตฟอร์ม หลากหลายแหล่งที่มา
งานวิเคราะห์ทุกชิ้น จะผ่านการตรวจสอบจากหัวหน้าแล้ว ยังมีทีมที่ช่วยกันอีก 4-5 คน นอกเหนือจากที่ต้องใช้ข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือหลายแหล่ง หลายระดับร่วมกัน รวมถึงการเก็บข้อมูลจากสถานการณ์รอบตัวจริงๆ
“เคยใช้ AI ทำนายการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน หลังจากที่มีเหตุการณ์ลักพาตัว AI บอกว่าจะใช้เวลา 3-4 เดือนผลคือไม่ตรงกับความจริง เพราะใช้ข้อมูลในอดีต วันนี้นักท่องเที่ยวจีนยังไม่กลับมาเลย ฉะนั้นเอไอช่วยด้านรวบรวมข้อมูลได้ แต่ความแม่นยำในการวิเคราะห์ยังน้อย ผมก็สบายใจที่ เอไอ ยังทำหน้าที่แทนไม่ได้”นายอัตฐพล กล่าว
ทั้งนักวิเคราะห์รุ่นเก๋าและรุ่นใหม่ต่างเห็นตรงกันว่า AI เป็นเพียงเครื่องมือ แต่ “การทำนายอนาคตยังคงเป็นศิลปะที่มนุษย์ต้องทำเอง” บทวิเคราะห์จึงไม่ได้เป็นคำตอบสุดท้าย แต่เป็นแผนที่นำทางให้นักลงทุนคิดต่อ เพื่อตัดสินใจด้วยตัวเองต่อไป
