HoonSmart.com>> 8 โบรกเกอร์ แนะนำ ซื้อ-ถือ “นอร์ทอีส รับเบอร์” (NER) ให้ราคาเป้าหมาย 5 บาทถึงมากกว่า 6 บาท ครึ่งปีแรกออกมาตามคาด กำไรทั้งปีโต ไฟไหม้ทำประกันครอบคลุมความเสียหายทั้งหมด รับผลกระทบไตรมาส 3 ได้เงินคืนปลายปี จ่ายเงินปันผลได้สูง
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) พาย วิเคราะห์บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ (NER) ภาพรวมยอดขายในปี 2568 มีโอกาสสูงที่จะไม่ถึง 500,000 ตัน ตามที่ผู้บริหารเคยตั้งเป้าไว้ตอนต้นปี โดยมีความเป็นไปได้คือ 470,000 ตัน (ครึ่งปีแรกทำได้ประมาณ 238,973 ตัน) คาดว่าจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวของปริมาณขายในช่วงไตรมาสที่ 3 เป็นตันไป อย่างไรก็ตามสิ่งที่จะกดดันคือราคาขายที่มีแนวโน้มลดลงตามทิศทางตลาดโลก
สำหรับผลกระทบจากเหตุไฟไหม้ทางบริษัทมีการทำประกันวงเงินครอบคลุมความเสียหายทั้งหมด ส่วนผลกระทบจากอัตราภาษีของสหรัฐฯ เบื้องต้นคาดว่าไทยยังมีภาษีดีกว่าในเรื่องวัตถุดิบ แต่ต้องติดตามถึงเงื่อนไขเรื่อง Transshipment ว่าจะโดนหรือไม่อีกที ทั้งนี้ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” โดยประเมินมูลค่าเหมาะสมที่ 6.25 บาท ด้วยผลตอบแทนเงินปันผลที่คาดว่าทั้งปีจะสูงถึง 8-9%
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุ NER รายงานกำไรปกติไตรมาส 2/2568 ที่ 489 ล้านบาท (-17.7% QoQ, -0.6% YoY) ใกล้เคียงกับที่คาด
โดยกำไรสุทธิอยู่ที่ 554 ล้านบาท เนื่องจากมีกำไรจากอนุพันธ์และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 65 ล้านบาท รายได้หลักอยู่ที่ 7,585 ล้านบาท ลดลง 12.8% QoQ จากปริมาณขายที่ลดลง 12.0% แต่รายได้เพิ่มขึ้น 30.6% จากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น 23.7% YoY โดยปริมาณขายอยู่ที่ 1.11 แสนตัน (คาด 1.15 แสนตัน) และ ASP อยู่ที่ 67.7 บาท/กก. (คาด 68.0 บาท/กก.) ลดลง 0.6% QoQ แต่เพิ่มขึ้น 5.9% YoY GPM อยู่ที่ 10.5% ทรงตัว QoQ แต่ลดลงจาก 12.4% ใน 2Q24 เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้น SG&A/Sales อยู่เพียง 2.0%
ทรงตัว QoQ และ YoY แม้ว่าจะมีค่าระวางเรือสูงขึ้น เพราะรายได้จากการส่งออกลดลง 42.9% QoQ เนื่องจากมียอดขายบางส่วนส่งออกไม่ทันในช่วงปลายไตรมาส 2 เลื่อนมาส่งมอบได้ในไตรมาส 3 เนื่องจากปัญหาการขาดแคลนตู้ขนส่งชั่วคราว
ขณะที่งบดุลยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ DE Ratio อยู่ที่ราว 1.2 เท่า ลดลงจากสิ้นปี 2567 ที่ 1.3 เท่า โดยหนี้สินทรงตัว แต่ส่วนของผู้ถือหุ้นสูงขึ้นตามทิศทางผลประกอบการที่ยังมีกำไรต่อเนื่อง NER ประกาศจ่ายเงินปันผลงวดครึ่งปีนี้ที่ 0.05 บาท เท่ากับที่คาดให้ผลตอบแทน 1% ขึ้น XD วันที่ 22 ส.ค.ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2568 ที่ 6.20 บาท
บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) มอง NER รายงานกำไรไตรมาส 2 เพิ่มขึ้นYoY โดยหลักหนุนจากปริมาณขายเป็นไปตามคาด รายได้จากการขายรวมเพิ่มขึ้น แบ่งเป็นรายได้ขายในประเทศสัดส่วน 80% และรายได้ขายต่างประเทศสัดส่วน 20% ผู้บริหารเผยช่วงครึ่งปีหลัง โมเมนตัมดีต่อเนื่อง ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 0.05 บาท/หุ้น คาดกำไรปี 68 โต หนุนจากคำสั่งซื้อล่วงหน้า และแนวโน้ม Demand เร่งตัวขึ้น ยังแนะนำ “ซื้อ”ราคาพื้นฐาน 6.05 บาท
บล.เอเอสแอล เผย NER มีกำไรไตรมาส 2 ออกมาดี แต่ช่วงปลายไตรมาส 3 ถึงต้นไตรมาส 4 รับผลกระทบชะลอสั่งซื้อจากภาษีสหรัฐฯ ทำให้ทั้งปีต่ำกว่าเป้าที่ 5 แสนตัน ผู้บริหารมีการปรับเป้าปริมาณการขายในปีนี้ลงจากเดิม 5 แสนตัน ยอดขาย 3.4 หมื่นล้านบาท มาอยู่ที่ 4.7 แสนตัน ยอดขาย 3.25 หมื่นล้านบาท จากผลกระทบมาตรการภาษีสหรัฐฯ คงประมาณการรายได้ที่ 3.17 หมื่นล้านบาท และกำไรสุทธิ 1,920 ล้านบาท คงคำแนะนำ ซื้อ ที่ราคาเป้าหมาย 6 บาท (ไม่เปลี่ยนแปลง)
บล.กรุงศรี คงคำแนะนำ “ซื้อ” มูลค่าเหมาะสม 5.85 บาท โดยมีมุมมอง Neutral ต่อกำไรปกติ ไตรมาส 2 ที่ 489 ล้านบาท ใกล้เคียงกับที่เราและตลาดคาด ปัจจัยกดดันจากต้นทุนยางพาราเพิ่มขึ้น ทำให้ GPM ลดลง แต่ปริมาณการขายและราคาขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น สามารถชดเชยกับราคาต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น ทำให้กำไรสามารถทรงตัวได้ สำหรับโมเมนตั้มไตรมาส 3 คาดกำไรปกติเพิ่มขึ้น YoY แต่ลดลง QoQ คาดว่าจะมี GPM ต่ำที่สุดของปีตามปัจจัยฤดูกาล
บล. ลิเบอเรเตอร์ มอง NER กำไรไตรมาส 2 เป็นไปตามคาด ปริมาณขายและราคาขายเพิ่ม แต่อัตรากำไรขั้นต้นลดลง รายการพิเศษจากเหตุไฟไหม้จะเริ่มบันทึกในไตรมาสที่ 3 แต่คาดจะได้เงินคืนภายในปีนี้ จึงจะไม่กระทบเงินปันผลงวดครึ่งปีหลัง ยังคงแนะนำซื้อ ราคาที่เหมาะสม 5.70 บาท
บล.ดาโอ (ประเทศไทย) คาดแนวโน้มครึ่งปีหลังชะลอจากครึ่งปีแรกจากผลกระทบ tariffs คงคำแนะนำ “ถือ” และราคาเป้าหมาย 5 บาท อิง PER ปีนี้ที่ 5.5 เท่า คงประมาณการกำไรปกติปีนี้ ที่ 1,700 ล้านบาท (+1% YoY) สำหรับไตรมาส 3 เบื้องต้นคาดการณ์แนวโน้มกำไรปกติจะยังชะลอ QoQ จากราคาขายปรับตัวลงตามทิศทางราคายางรวมถึงปริมาณขายมีโอกาสทรงตัว หลังก่อนหน้านี้ลูกค้าบางส่วนอาจมีการชะลอคำสั่งซื้อเพื่อรอดูสถานการณ์
ราคาหุ้น in line กับ SET ใน 1 เดือน แม้สถานการณ์นโยบาย tariffs ชัดเจนขึ้น แต่คงแนะนำ “ถือ”
บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ แม้ไทยจะได้อัตราภาษีนำเข้าจากสหรัฐใกล้เคียงคู่แข่งทำให้ยังมีศักยภาพแข่งขัน แต่มีความเสี่ยงที่มาตรการภาษีของสหรัฐจะทำให้ผู้บริโภคชะลอซื้อหลังราคาสินค้าแพงขึ้น ซึ่งจะกดดันยอดขายยางและศักยภาพทำกำไรให้ชะลอตัวลงได้ อีกทั้งราคาหุ้นปัจจุบันยังมี Upside ไม่จูงใจพอจากราคาเป้าหมายปี 2569 ที่หุ้นละ 5.00 บาท (EPS อิงจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้นจากใช้สิทธิแปลงสภาพ
NER-W2 ซึ่งมี 308 ล้านหน่วย และกำหนดให้ใช้สิทธิเท่ากัน 3 ครั้งในเวลาที่เหลือ 1.5 ปี พร้อมอิงค่าเฉลี่ย PER ที่ 6 เท่า)
กลยุทธ์ลงทุนช่วงสั้นจึงคงแนะนำ Neutral เพราะมีจุดเด่นที่ปันผลสูง โดยคาดมีเงินปันผลจ่ายจากกำไรปี 2568 หุ้นละ 0.34 บาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทนสูงปีละ 7.6% ซึ่งล่าสุดประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากกำไรครึ่งปีแรกหุ้นละ 0.05 บาท (XD 22 ส.ค.) คิดเป็นอัตราผลตอบแทน 1.1%
