HoonSmart.com>>บล.CGSI เพิ่มเป้าดัชนี SET สิ้นปี 68 เป็น 1,320 จุด จาก 1,280 จุด หลังปรับเพิ่มประมาณการกำไรต่อหุ้น (EPS) ของตลาดปี 68-69 คาดลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งเหลือ 1% สถานการณ์การเมืองดีขึ้น จะช่วยหนุนตลาดหุ้น กลยุทธ์ชอบกลุ่มอุปโภคบริโภค,สินเชื่อเพื่อผู้บริโภค,รับเหมา,นิคมฯ,ท่องเที่ยว,การแพทย์,สาธารณูปโภค ชูหุ้นเด่น AMATA, BDMS, CPN, ERW, GULF, MINT, MTC, PR9,TRUE เตือนระวังกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย,แบงก์, อสังหาฯ,พลังงาน,ปิโตรเคมี

ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า บริษัทที่ฝ่ายวิเคราะห์ฯศึกษา มีกำไรจากการดำเนินงานปกติในไตรมาส 2/2568 เติบโต 6% YoY แต่ลดลง 7% QoQ กลุ่มที่มีกำไรปกติเติบโตสูงสุด QoQ ได้แก่ กลุ่มกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง, กลุ่มอาหาร, กลุ่มโทรคมนาคม, กลุ่มขนส่ง และกลุ่มปิโตรเคมี ส่วนกลุ่มที่มีกำไรปกติเติบโตต่ำสุด QoQ คือ กลุ่มน้ำมันและก๊าซ, กลุ่มเทคโนโลยี และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์
อย่างไรก็ตาม หลายบริษัทมีการบันทึกรายการพิเศษ โดยเฉพาะบริษัทในกลุ่มปิโตรเคมี เช่น SCC บันทึกค่าความนิยมติดลบจาก Chandra Asri Petrochemical (CAP หรือ TPIA.IJ,Not Rated, ราคาหุ้น 9,675 รูเปีย) และการประเมินมูลค่าสินทรัพย์ใหม่ (จากสัดส่วนการถือหุ้น
30.57% ใน CAP) จำนวน 16,712 ล้านบาท ขณะที่ TOP รายงานกำไรสุทธิ 6,476 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 84.8% QoQ จากการรับรู้กำไรจากการซื้อคืนหุ้นกู้จานวน 2,521 ล้านบาทและค่าความนิยมติดลบ 7,062 ล้านบาท ทำให้กำไรสุทธิของบจ.ที่ศึกษาจะเติบโตสูงถึง 43% YoY และ 26% QoQ
บริษัทที่ศึกษาประมาณ 24% รายงานกำไรสูงกว่าคาด และมีบริษัท 20% ทำกำไรต่ำกว่าคาด ส่วนอีก 56% มีผลประกอบการสอดคล้องกับความคาดหมาย ทั้งนี้เมื่อเทียบผลประกอบการกับไตรมาส 1/2568 พบว่ามีบริษัทที่ทำกำไรสูงกว่าคาด 22%, ต่ำกว่าคาด 16% และสอดคล้องกับประมาณการ 62% โดยกลุ่มที่มีผลประกอบการดีกว่าคาดในไตรมาส 2 คือ กลุ่มกลุ่มธนาคาร, กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง, กลุ่ม REIT, กลุ่มขนส่ง และกลุ่มสาธารณูปโภค ส่วนกลุ่มที่ทำกำไรต่ำกว่าคาด คือ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มโทรคมนาคม
“หลังฤดูการประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 สิ้นสุดลง จึงปรับประมาณการกำไรต่อหุ้น ( EPS) ของตลาดขึ้น 1.3% เป็น 81.5 บาทในปี 2568 และ 0.7% เป็น 87.4 บาทในปี 2568 เท่ากับว่าในปัจจุบันฝ่ายวิเคราะห์ฯคาดตลาดหุ้นไทยจะมี EPS เติบโต 8% YoY ทั้งในปี 2568 และปี 2569 เทียบกับเติบโต 4% YoY ในปี 2567”
ฝ่ายวิเคราะห์ฯ ยังคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 จะมีการผ่อนคลายนโยบายทางการเงินเพิ่มเติม โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ส่งสัญญาณว่า อาจมีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเคยอยู่ที่ระดับ 0.50% ในเดือนพ.ค.2563 -ส.ค.2565 จึงเชื่อว่าธปท.จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายอีกสองครั้งในปีนี้หรือปรับลงครั้งละ 0.25% ในการประชุมวันที่ 8 ต.ค. และ 17 ธ.ค.2568 จะส่งผลให้ดอกเบี้ยนโยบายของไทยลดลงจากปัจจุบัน 1.50% เหลือ 1.00%
ขณะที่ Bloomberg consensusคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ที่ 1.25% ในสิ้นปี 2568 ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.25% ในสิ้นปี 2019 ก่อนที่ไทยจะรับรู้ผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ปัจจุบัน Bloomberg consensus คาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐจะปรับอัตราดอกเบี้ยลง 0.75% เป็น 3.75% ภายในสิ้นปี 2568 จึงน่าจะทำให้ธปท. สามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยโดยไม่ต้องกังวลกับ
เงินทุนไหลออกมากนัก ส่วนการปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้เชิงรุกมากขึ้นของธนาคารพาณิชย์ นำโดยธนาคารกรุงเทพ น่าจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ รวมถึงตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะสำหรับบริษัทที่มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสูง
นอกจากนี้ เมื่อสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองดีขึ้น โดยในช่วง 2-3 สัปดาห์ข้างหน้าจะมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น ทั้งคดีของน.ส. แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะส่งผลให้ดัชนี SET น่าจะปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่ธปท.มีแนวโน้มปรับอัตราดอกเบี้ยลงอีก จึงปรับเป้าดัชนี SET สิ้นปี 2568 ขึ้นจาก 1,280 จุด (-0.5SD จาก ค่าเฉลี่ย 10 ปี) เป็น 1,320 จุด ซึ่งจะเท่ากับ P/E 15.1 เท่า ในปี 2569 หรือ -0.25SD จากค่าเฉลี่ย 10 ปี ขณะที่เชื่อว่าภูมิทัศน์ทางการเมืองที่ชัดเจนขึ้นและการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมจะช่วยหนุนตลาดหุ้นไทย ส่วนการชุมนุมทางการเมืองครั้งใหญ่ หากนายกรัฐมนตรี แพทองธารและอดีตนายกฯ ทักษิณรอดจากคดี และเศรษฐกิจที่ชะลอตัวรุนแรง อาจทำให้ประมาณการมี downside risk
“ดัชนี SET ปรับตัวขึ้น 19% จากจุดต่ำสุดและปัจจุบันซื้อขายอยู่ที่ P/E 15 เท่า ในปี 2569 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีเล็กน้อย เราจึงเชื่อว่าเมื่อความไม่แน่นอนทางการเมืองหมดไป ดัชนี SET น่าจะปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่ธปท. มีแนวโน้มปรับอัตราดอกเบี้ยลงอีก”
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายวิเคราะห์ฯชอบกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค, กลุ่มสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค, กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง, กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม, กลุ่มท่องเที่ยว, กลุ่มการแพทย์และกลุ่มสาธารณูปโภค โดยหุ้น Top picks คือAMATA, BDMS, CPN, ERW, GULF, MINT, MTC, PR9 และ TRUE ขณะเดียวกันให้ระมัดระวังการลงทุนกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย, กลุ่มธนาคาร, กลุ่มอสังหาริมทรัพย์, กลุ่มพลังงาน และกลุ่มปิโตรเคมี
