PCE เดินหน้าดัน GPM โต 5-6% เร่งโรงงานใหม่-ลุยตลาดอินเดีย ญี่ปุ่น

HoonSmart.com>>”เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์” (PCE)  เดินหน้าขยายธุรกิจเต็มสูบในครึ่งปีหลัง 2568 ลุยเพิ่มรายได้ อัตรากำไรขั้นต้น 5-6% ด้วยการลงทุนในโรงงานใหม่ พัฒนาผลิตภัณฑ์ ร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับพันธมิตรญี่ปุ่นลุยตลาดแดนปลาดิบ เดินหน้า ESG มาตรฐาน FTด้านไตรมาส 2 รายได้รวมพุ่งแตะ 11,173.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 56.7% 

นายพรพิพัฒน์ ประสิทธิ์ศุภผล รองกรรมการผู้จัดการสายงานกลยุทธ์และพัฒนาองค์กร บริษัท เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ (PCE) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งหลังของปี 2568 มีทิศทางที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยได้รับแรงสนับสนุนจากผลผลิตปาล์มที่ยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องจากสภาพภูมิอากาศที่เอื้ออำนวย โอกาสในการขยายตลาดส่งออก รวมทั้ง บริษัทฯ มีการขยายกำลังการผลิตโรงสกัดน้ำมันปาล์มที่คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ตั้งแต่ไตรมาสที่ 4/2568 เป็นต้นไป ส่งผลให้การบริหารจัดการต้นทุนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังคงรักษาสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง ด้วยโครงสร้างที่เอื้อต่อการเติบโต โดยอัตรากำไรขั้นต้นมีแนวโน้มฟื้นตัวในระยะถัดไป

สำหรับ โรงสกัดน้ำมันปาล์มเฟส 2 มูลค่าลงทุน 180 ล้านบาท มีความคืบหน้าเป็นอย่างมาก คาดว่าจะแล้วเสร็จและสามารถเริ่มดำเนินงานได้ภายในเดือนกันยายน 2568 นี้ โดยโรงงานใหม่มีกำลังการผลิตประมาณ 1,800 ตันต่อวัน เมื่อรวมกับกำลังการผลิตโรงงานเดิมอยู่ที่ 1,800 ตันต่อวัน จะทำให้กำลังการผลิตเพิ่มเป็น 3,600 ตันต่อวัน หรือเพิ่มขึ้นเท่าตัว และมีแผนขยายเฟส 3 เพิ่มเติมในกลางปี 2569 เพิ่มกำลังการผลิตอีกประมาณ 1,440 ตันต่อวัน เมื่อครบ 3 เฟสแล้ว สามารถรองรับผลผลิตได้ประมาณ 5,040 ตันต่อวัน เพื่อรองรับผลผลิตปาล์มน้ำมันที่มีการเติบโตต่อเนื่องในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ส่งผลดีต่อ Economy of Scale หรือการเพิ่มความสามารถในการควบคุมต้นทุนการผลิตน้ำมันปาล์มดิบ

ทั้งนี้ การที่ PCE มีโครงสร้างธุรกิจครบวงจร ช่วยหนุนห่วงโซ่อุปทานน้ำมันปาล์มโลกเติบโตต่อเนื่องในไตรมาส 2/2568 จากคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นและผลผลิตภายในประเทศที่สูงเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้รายได้รวมพุ่งแตะ 11,173.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 56.7% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และ 105.5% จากไตรมาสก่อนหน้า

กำไรสุทธิส่วนของผู้ถือหุ้นบริษัทใหญ่อยู่ที่ 133.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.4% เมื่อเทียบรายปี และ 381.1% จากไตรมาส 1/2568 โดยมีอัตรากำไรสุทธิที่ 1.2% ได้แรงหนุนจากการส่งออกน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ที่ทะลุเป้า และราคาขายของไทยที่สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก

ไทยยังได้รับการจัดอยู่ในกลุ่ม “ประเทศความเสี่ยงต่ำ” ตามเกณฑ์ EUDR ของสหภาพยุโรป เสริมความเชื่อมั่นจากคู่ค้าต่างประเทศ ขณะที่ PCE เดินหน้าขยายการร่วมลงทุนกับพันธมิตรในและต่างประเทศ เพื่อเพิ่มแหล่งรายได้และกระจายความเสี่ยง

ล่าสุด เมื่อเดือนมิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ใน Fortune Southeast Asia 500 ประจำปี 2568 เป็นปีแรกในอันดับที่ 327 จากการจัดอันดับโดยนิตยสาร Fortune เพื่อคัดเลือก 500 บริษัทที่มีรายได้สูงสุดของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงได้ในปี 2567 สะท้อนถึงศักยภาพทางการเงินและการยกระดับภาพลักษณ์ของบริษัทฯ สู่เวทีในระดับภูมิภาคและระดับโลก

ตั้งเป้า GPM 5-6%

นายกีรติ ไชยะกุล ผู้อำนวยการอาวุโสสายงานบัญชีและการเงิน บริษัท เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ (PCE)  นำเสนอข้อมูลธุรกิจ และผลการดำเนินงานประจำ Q2/2025 และ ทิศทางการดำเนินงานและการเติบโตในอนาคต ว่า บริษัทฯมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มจากการผลิตน้ำมันปาล์มดิบไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงและตอบโจทย์ตลาดโลก โดยการลงทุนในโรงงานใหม่และการร่วมมือเชิงกลยุทธ์จะช่วยเสริมศักยภาพการแข่งขันในระยะยาว พร้อมรองรับความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อเพิ่มรายได้ และมีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin :GPM) ให้ได้ตามเป้าหมาย 5-6% ในระยะต่อไป จากปัจจุบัน 2% ควบคู่กับการมุ่งสู่บริษัทที่ปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์

ทั้งนี้ จะดำเนินการภายใต้ 4 กลยุทธ์การเติบโต ประกอบด้วย
หนึ่ง ขยายธุรกิจต้นน้ำ พิ่มกำลังผลิตโรงสกัดน้ำมันปาล์ม รองรับความต้องการในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้น เพราะเป็นน้ำมันที่มีราคาถูก  ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนการส่งออก 63% แต่ในระยะต่อไปจะรักษาสัดส่วนการส่งออกกับขายภายในประเทศให้อยู่ในระดับ 50:50

สอง เพิ่มรายได้และ GPM ด้วยการพัฒนา

ผลิตภัณฑ์ใหม่ปีละ 1 รายการ ปรับไลน์ผลิตตามความต้องการของลูกค้า

สาม ร่วมมือกับพันธมิตรในการพัฒนาสินค้าใหม่ๆ โดยล่าสุดร่วมทุนกับ SFS และพันธมิตรญี่ปุ่น พัฒนาน้ำมันพรีเมียม

สี่ ขยายตลาดใหม่ ซึ่งปัจจุบันตลาดอินเดียและญี่ปุ่น มีแนวโน้มเติบโตดี โดยเฉพาะอินเดีย คาดว่าความต้องการน้ำมันปาล์มจะสูงถึง 20 ล้านตัน เพื่อทดแทนการนำเข้าถั่วเหลือง หลังจากถูกสหรัฐฯขึ้นกำแพงภาษี

ขณะเดียวกัน บริษัทฯยังคงเดินหน้าตามแผน ESG ที่มีความก้าวหน้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งธุรกิจน้ำมันปาล์ม เป็นธุรกิจที่สามารถใช้ได้ทุกส่วนของผลปาล์ม และยังอยู่ระหว่างพัฒนาน้ำมันที่ใช้แล้วเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ โดยอยู่ระหว่างพัฒนาโรงงาน Bio Complex & Mass Refinery

ล่าสุด บริษัทมีจุดรับน้ำมันปาล์มใช้แล้ว 49 แห่ง ช่วยครัวเรือนสร้างรายได้กว่า 8 หมื่นบาทต่อปี ซึ่งน้ำมันใช้แล้วยังเป็นที่ต้องการในตลาดโลก
รวมถึง บริษัทยังได้รับการรับรองมาตรฐาน RSPO & GGL  ครอบคลุมสวนปาล์มกว่า 20,000 ไร่ สามารถส่งออกกะลาปาล์มราคาพรีเมียม คาดว่าจะมีรายได้เข้ามาในไตรมาส 4 ของปีนี้

ทั้งนี้ บริษัทกำลังอยู่ในกระบวนการพัฒนาแผน ESG เพื่อให้ติดอันดับอยู่ใน FTSE ESG