SCB EIC ชี้ธุรกิจโรงแรมยังเผชิญการแข่งขันสูง ท่ามกลางนักท่องเที่ยวต่างชาติหดตัว

HoonSmart.com>> SCB EIC มองแนวโน้มธุรกิจโรงแรมปี 68 ยังเผชิญการแข่งขันสูงขึ้นทั้งด้านราคา-บริการ ท่ามกลางนักท่องเที่ยวต่างชาติหดตัว คาดแนวโน้มปีนี้ลดลง 7% จากปี 67 อยู่ที่ 32.9 ล้านคน จากการลดลงของนักท่องเที่ยวจีนเป็นหลัก รวมทั้งยังมีความเสี่ยงหากความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ยืดเยื้อ กระทบความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติ

ดร.กมลมาลย์ แจ้งล้อม, นักวิเคราะห์อาวุโส ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) เปิดเผยว่า ในช่วง 7 เดือนแรกของปี ธุรกิจโรงแรมต้องเผชิญกับแรงกดดันทั้งจากประเด็นด้านความปลอดภัย ความผันผวนทางเศรษฐกิจ และปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่ส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง -6.35%YoY มาอยู่ที่ 19.3 ล้านคน โดยนักท่องเที่ยวจีนลดลงสูงสุดกว่า -35%YoY มาอยู่ที่ 2.69 ล้านคนแต่ยังเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยสูงสุดตามด้วยนักท่องเที่ยวมาเลเซีย, อินเดีย, รัสเซีย และเกาหลีใต้ ส่งผลให้ภาครัฐเร่งออกมาตรการเรียกความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวจีนให้กลับคืนมาควบคู่ไปกับการเจาะตลาดศักยภาพที่เติบโตสูงอย่างยุโรปและตะวันออกกลางที่เดินทางมาท่องเที่ยวในไทยมากขึ้น  ซึ่งจะส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มทยอยฟื้นตัว

อย่างไรก็ดี  ในภาพรวมคาดว่าในปีนี้นักท่องเที่ยวต่างชาติจะลดลงราว -7%YoY  มาอยู่ที่ 32.9 ล้านคน และยังมีความเสี่ยงหากความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชายืดเยื้อ ซึ่งจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติ

ในขณะที่นักท่องเที่ยวไทยเที่ยวไทยยังเติบโตต่อเนื่องในช่วง 6 เดือนแรกของปีจากจำนวนผู้เยี่ยมเยือนไทยที่เพิ่มขึ้น 2.3%YoY มาอยู่ที่ 139.4 ล้านคนและมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอีกจากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของภาครัฐอย่าง “โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง” ซึ่งจะส่งผลให้ผู้เยี่ยมเยือนไทยในปีนี้เติบโตที่ 2.5%YoY มาอยู่ที่ 277.1 ล้านคน ด้วยอานิสงส์จากนักท่องเที่ยวไทยที่เติบโตจึงส่งผลให้อัตราการเข้าพักเฉลี่ยทั่วประเทศของธุรกิจโรงแรมมีแนวโน้มใกล้เคียงกับปี 2567 ที่ 72% ขณะที่ราคาห้องพักเฉลี่ยมีแนวโน้มลดลงราว -5%YoY มาอยู่ที่ราว 1,790 บาทต่อห้อง จากการใช้กลยุทธ์ด้านราคาเพื่อกระตุ้นนักท่องเที่ยวไทยให้เดินทางท่องเที่ยวมากขึ้นทดแทนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่หดตัว

อย่างไรก็ดี ธุรกิจโรงแรมยังต้องเผชิญกับการแข่งขันที่สูงขึ้นทั้งในด้านราคา ด้านบริการ และการนำเสนอประสบการณ์ รวมถึงการแข่งขันในระดับภูมิภาค ท่ามกลางภาวะที่นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาไทยลดลง ทำให้โรงแรมที่ปรับใช้กลยุทธ์กระจายความเสี่ยงขยายฐานนักท่องเที่ยวให้มีความหลากหลายไม่พึ่งพิงรายได้จากนักท่องเที่ยวกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งได้รับผลกระทบไม่มากนัก แต่สถานการณ์ดังกล่าวได้ผลักดันให้หลายโรงแรมต้องใช้กลยุทธ์เชิงรุกมากขึ้นเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว จึงส่งผลให้การแข่งขันของธุรกิจโรงแรมในปีนี้เข้มข้นยิ่งขึ้น ทั้งจาก

1. การแข่งขันด้านราคา นักท่องเที่ยวสามารถเปรียบเทียบราคาที่พักบนแพลตฟอร์ม OTA ได้อย่างสะดวก รวมถึงการเพิ่มความคุ้มค่าผ่านโปรโมชันพิเศษ เช่น เครดิตร้านอาหาร หรือการอัปเกรดห้องพัก

2. การแข่งขันด้านบริการและการนำเสนอประสบการณ์เพื่อดึงดูดความสนใจนักท่องเที่ยวที่มองหาประสบการณ์ที่แปลกใหม่และบริการที่ใส่ใจรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ยกระดับการบริการ, การจัดกิจกรรมสร้างประสบการณ์ และการพัฒนาคอนเซปต์โรงแรมในรูปแบบเฉพาะอย่าง Wellness resort หรือ Eco-hotel

3. การแข่งขันในระดับภูมิภาค จากกระแสด้าน “ความยั่งยืน” เป็นอีกปัจจัยสำคัญของการดำเนินธุรกิจโรงแรมในปัจจุบัน จากเทรนด์นักท่องเที่ยวยุคใหม่ที่ใส่ใจด้านความยั่งยืนมากขึ้น

โดยธุรกิจโรงแรมถือเป็นธุรกิจหลักในภาคการท่องเที่ยวที่สร้างรายได้หลักมาจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติผ่านการให้บริการด้านที่พัก การจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม การจัดเลี้ยงและการประชุมสัมมนา รวมถึงการให้บริการด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่อง เช่น บริการสปาเพื่อสุขภาพ และการให้เช่าพื้นที่เชิงพาณิชย์

ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์  ได้แก่ กลุ่มธุรกิจโรงแรมที่รายได้หลักมาจากการให้บริการด้านที่พัก อย่างเช่น ASIA, BEYOND, CENTEL, DUSIT, ERW, GRAND, LRH, MANRIN, MINT, OHTL, ROH, SHANG, SHR และ VRANDA 2) กลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวที่รายได้หลักมาจากธุรกิจอื่นนอกจากห้องพักโรงแรม ได้แก่ SPA ซึ่งรายได้หลักมาจากธุรกิจสปาเพื่อสุขภาพและเวลเนส รวมถึง CSR ที่รายได้หลักมาจากธุรกิจสนามกอล์ฟ

ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ SET