HoonSmart.com>>SCB WEALTH ชี้ภาษีใหม่เปลี่ยนเกมการค้า-การลงทุน เปิด 2 พอร์ต 4 กลุ่มหุ้นไทย 4 ตลาดหุ้นต่างประเทศ พร้อม 4 สินทรัพย์จับโอกาสเกมการค้า ดอกเบี้ย การเมือง ลดผันผวน เพิ่มผลตอบแทนระยะยาว
นายสุทธิชัย คุ้มวรชัย Head of Research Department บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ เปิดเผยว่า ภาษีใหม่ที่ประกาศออกมามีความชัดเจน โดยไทยถูกคิดในอัตราที่ไม่ต่างจากประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน และดีกว่าเวียดนามที่ถูกคิดถึง 20% ซึ่งถือเป็นโอกาสสำหรับเศรษฐกิจไทย โดยบริษัทฯ ได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัว 1.8% จากเดิมที่ต่ำกว่า สะท้อนสัญญาณการเจรจาการค้าที่ดีขึ้น และเศรษฐกิจครึ่งปีแรกที่ฟื้นตัวเกินคาด
ผลกระทบต่อภาคส่งออก–ธุรกิจต้องปรับตัว
แม้ภาพรวมเศรษฐกิจจะเป็นบวก แต่ภาษีใหม่นำมาซึ่งต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผ่านไปยังผู้บริโภค ผู้ขนส่ง และผู้ประกอบการบางส่วน ส่งผลต่ออัตรากำไร โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่อาจได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อในสหรัฐฯ ที่ลดลง
ในทางกลับกัน กลุ่มธุรกิจที่คาดว่าจะได้ประโยชน์ ได้แก่:
– ผู้เลี้ยงสัตว์: ต้นทุนอาหารลดลง
– โรงพยาบาล: ยานำเข้าถูกลง แต่ค่าบริการยังคงเดิม
– โรงไฟฟ้า: ต้นทุนก๊าซ LNG ลดลง
– นิคมอุตสาหกรรม: มีแนวโน้มลงทุนเพิ่มหลังรอความชัดเจนด้านภาษี
ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัว–กลยุทธ์ลงทุนต้อง “คัดเลือก”
ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนที่ดีขึ้นในเดือนกรกฎาคม จากการที่ SET Index เดือนกรกฎาคมปรับเพิ่มขึ้นถึง 14% สะท้อนพัฒนาการเจรจาการค้าและแรงหนุนจากเงินทุนต่างชาติที่ไหลกลับมา
นักลงทุนควรระวังแรงขายทำกำไรระยะสั้น
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนต้องเน้นคัดเลือกหลักทรัพย์ (Selective) มากขึ้น ประเมินปัจจัยพื้นฐานของ ดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้อยู่ที่ 1,250 จุด อย่างไรก็ตามหากกระแสเงินลงทุนยังไหลเข้ามาต่อเนื่อง SET Index อาจมี upside ให้กลับไปซื้อขายในระดับ PER ในอดีตที่ 14-16 เท่า หรือคิดเป็นระดับดัชนีที่ 1242-1,419 จุด
หุ้นแนะนำ
-ผู้ที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ อาจพิจารณาลงทุนในหุ้นที่ยังปรับตัวขึ้นช้า (Laggard) เช่น BDMS, CPALL, MINT, MTC, PTT
-นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ค่อนข้างสูง แนะนำนักลงทุนในหุ้นที่คาดได้ประโยชน์จากจากการเจรจาสงครามการค้าในครั้งนี้ ได้แก่ AMATA, BTG, CPF, GPSC, WHA
จับตาความไม่แน่นอนทางการค้าทั่วโลก
น.ส.เกษรี อายุตตะกะ ผู้อำนวยการ Investment Research SCB CIO ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า แม้การเจรจาการค้าจะดีขึ้น แต่ยังมี 3 ประเด็นที่ต้องติดตาม:
1. การเจรจารอบถัดไประหว่างสหรัฐฯ กับจีน
2. การนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียโดยจีนและอินเดีย
3. การตัดสินของศาลอุทธรณ์กรณีใช้อำนาจของทรัมป์ภายใต้กฎหมาย International Emergency Economic Powers Act (IEEPA) หรือไม่ หากผลออกมาว่า เกินอำนาจ คาดว่าประธานาธิบดี ทรัมป์ จะเดินหน้ายื่นเรื่องไปยังศาลฎีกา และหากผลสุดท้ายออกมาว่าไม่สามารถใช้อำนาจประธานาธิบดีได้ ก็อาจทำให้ประธานาธิบดี ทรัมป์ ออกมาตรการภาษีอื่นที่ส่งผลกระทบเฉพาะบางรายการสินค้าแทน เนื่องจากต้องการหารายได้จากภาษีนำเข้าเพื่อไปชดเชยการขาดดุลงบประมาณที่มากขึ้น จากการขยายเวลาปรับลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และการเพิ่มการใช้จ่ายด้านการคลัง
SCB CIO ประเมินว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังเติบโตได้ 1.5% ในปีนี้ แม้เงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น โดย Fed มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยมากกว่า 1 ครั้งในปีนี้
-แนะลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลหรือหุ้นกู้คุณภาพดี (Investment Grade) ของสหรัฐฯ
-ระยะสั้นถึงกลาง หลีกเลี่ยงตราสารหนี้สหรัฐฯ ระยะยาว เนื่องจากส่วนชดเชยความเสี่ยง (Term premium) ยังมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น ตามแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ยังสูงและแนวโน้มการขาดดุลงบประมาณของสหรัฐฯ ที่สูงขึ้น
2 ตลาดหุ้นที่ต้องมี
ตลาดพี่เบิ้ม
ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา แนะนำ เทคโนโลยี AI และหุ้นที่ได้อานิสงส์จากนโยบายกระตุ้น
– กลุ่มแนะนำหุ้นเทคโนโลยีที่เชื่อมโยงกับ AI เช่น Cloud, Semiconductor, Software-as-a-Service (SaaS)
– เหตุผล:
– Fed มีแนวโน้มลดดอกเบี้ย
– ร่างกฎหมาย “One Big Beautiful Bill” หนุนเศรษฐกิจ
– EPS ของบริษัทจดทะเบียนยังเติบโตดี
– Hyperscalers เพิ่มงบลงทุนใน AI อย่างต่อเนื่อง
ตลาดยุโรป แนะนำ หุ้นที่ได้ประโยชน์จากนโยบายการคลัง
– กลุ่มแนะนำ: กลุ่มอุตสาหกรรมพื้นฐาน, พลังงานสะอาด, ธนาคารพาณิชย์
– เหตุผล:
– นโยบายการคลังกระตุ้นเศรษฐกิจ
– การลดดอกเบี้ยช่วยเพิ่มสภาพคล่อง
– บริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มถูกปรับประมาณการกำไรดีขึ้น
ตลาดหุ้นญี่ปุ่น แนะนำ หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคและโครงสร้างพื้นฐาน
– กลุ่มแนะนำ: กลุ่มค้าปลีก, พลังงาน, ก่อสร้าง, REITs
– เหตุผล:
– อัตราภาษีตอบโต้ต่ำ (15%)
– การบริโภคภายในประเทศเติบโต
– ความคาดหวังเชิงบวกจากรัฐบาลใหม่หลังเลือกตั้ง
ตลาดน้องใหม่
ตลาดหุ้นจีน แนะนำหุ้นที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานและนโยบายรัฐ
– กลุ่มแนะนำ: พลังงานหมุนเวียน, ก่อสร้าง, เทคโนโลยีพื้นฐาน
– เหตุผล:
– นโยบายการคลังเชิงรุก
– โครงการลงทุนเขื่อนในทิเบต
– มาตรการ anti-involution หนุนอุตสาหกรรม
ตลาดหุ้นอินเดีย แนะนำ หุ้นที่พึ่งพาอุปสงค์ภายในประเทศ
– กลุ่มแนะนำ: กลุ่มบริโภค, ธุรกิจท้องถิ่น, พลังงาน
– เหตุผล:
– ส่งออกไปสหรัฐฯ มีสัดส่วนน้อย
– รัฐบาลเตรียมออกนโยบายกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศ
2 พอร์ตลงทุนรับมือภาษีใหม่
น.ส.นิสารัตน์ ชมภูพงษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายให้คำปรึกษาด้านความมั่งคั่งและการลงทุน SCB CIO แนะนำกลยุทธ์จัดพอร์ตแบบสมดุล โดยแบ่งเป็น:
– พอร์ตลงทุนหลัก สำหรับเงินลงทุนส่วนใหญ่ หรือ Core Portfolio (80%) ลงใน ตราสารหนี้ระยะสั้น-กลาง, ในหุ้นสหรัฐฯและหุ้นญี่ปุ่น
เหตุผล
สหรัฐฯ: ได้รับอานิสงส์จากข้อตกลงทางการค้าที่ให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีนำเข้า 0%
– ส่งผลให้เศรษฐกิจภายในประเทศและผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มดีขึ้น
– เหมาะกับการลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและบริโภคพื้นฐาน
– ญี่ปุ่น: น่าสนใจจากอัตราภาษีตอบโต้ที่ต่ำ (15%)
– เศรษฐกิจภายในประเทศฟื้นตัวจากภาคการบริโภค
– มีความคาดหวังเชิงบวกจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่
พอร์ตลงทุนส่วนเสริม หรือ Opportunistic Portfolio (20%): ลงทุนในธีม Mega Force เช่น
– เทคโนโลยี AI: เป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่ง
– บริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ รายงานผลประกอบการดีกว่าคาด
– เงินลงทุนในด้าน AI ขยายตัวต่อเนื่อง
– ส่งผลดีต่อธุรกิจในระยะถัดไป
ทอง+กองทุนมัลติ ต้องมี
-ทองคำ: ช่วยลดความเสี่ยงในภาวะตลาดผันผวน
– กองทุนรวมแบบ Multi-strategy: มีความสัมพันธ์ต่ำกับตลาดหลัก
– ใช้กลยุทธ์การลงทุนผสมผสาน
– ลดความผันผวนของพอร์ตโดยรวม
ทบทวนจีดีพีใหม่
ดร.ฐิติมา ชูเชิด ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจมหภาค SCB EIC ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า โอกาสของธุรกิจไทยจากภาษีใหม่ของสหรัฐฯ โดยรวมมีทั้งปัจจัยที่ดูดีขึ้นและปัจจัยที่ยังต้องระมัดระวัง
โอกาสอยู่ในกลุ่มสินค้าที่เคยกังวลว่าจะสูญเสียความสามารถในการแข่งขันด้านราคาในตลาดสหรัฐฯ เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์และชิ้นส่วน อาหารแปรรูป เวลเนส และบรรจุภัณฑ์
นอกจากนี้ อยู่ระหว่างการทบทวนประมาณการเศรษฐกิจไทยใหม่ หลังสหรัฐฯ เก็บภาษีไทยต่ำกว่าสมมติฐานที่ใช้คาดการณ์ในเดือน มิ.ย. 2568 ล่าสุดประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปี 2568 และปี 2569 จะขยายตัวสูงขึ้นบ้างจากมุมมองเดิมที่ 1.5% และ 1.4% ตามลำดับ
