HoonSmart.com>>ตลาดหุ้นสหรัฐฯทั้ง 3 ดัชนีหลักปิดร่วงแรงกว่า 2% ดาวโจนส์ลดลง 542 จุด หลังรายงานข้อมูลการจ้างงานอ่อนแอ บ่งชี้เศรษฐกิจชะลอตัว ด้าน “ราคาน้ำมันดิบ” ปรับตัวลดลง กว่า 2% ฟาก “ตลาดหุ้นยุโรป” ร่วงลงหนักที่สุดในรอบกว่าสามเดือน เผชิญกับผลกระทบจากมาตรการจัดเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ หลายสิบประเทศ สวิตเซอร์แลนด์ถูกเก็บภาษีสูงถึง 39%
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA) วันที่ 1 สิงหาคม 2568 ปิดที่ 43,588.58 จุด ลดลง 542.40 จุด หรือ -1.23% ความเชื่อมั่นตลาดถูกกระทบจากประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เกือบทุกประเทศอย่างเป็นทางการ ของประธานาธิบดีทรัมป์ และข้อมูลการจ้างงานที่อ่อนแอ ซึ่งเป็นที่ชัดเจนของเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง
ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,238.01 จุด ลดลง 101.38 จุด, -1.60% เป็นการร่วงลงมากที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 21 พฤษภาคม
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 20,650.13 จุด ลดลง 472.32 จุด, -2.24%ซึ่งเป็นการร่วงลงมากที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน
ในรอบสัปดาห์นี้ ทั้งสามดัชนีหลักต่างลดลงกว่า 2% โดยยดัชนีดาวโจนส์ลดลง 2.92% ดัชนี S&P500 ลดลง 2.36% และดัชนี Nasdaq ลดลง 2.17%
รายงานการจ้างงานเดือนกรกฎาคมแสดงให้เห็นว่าการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมเพิ่มขึ้น 73,000 ตำแหน่ง ซึ่งต่ำกว่าการเพิ่มขึ้น 100,000 ตำแหน่งในการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่สำรวจโดย Dow Jones นอกจากนี้ตัวเลขการจ้างงานเดือนมิถุนายนมีการปรับแก้เป็น 14,000 ตำแหน่ง ลดลงจาก 147,000 ตำแหน่ง การจ้างงานในเดือนพฤษภาคมปรับลดลงเหลือ 19,000 ตำแหน่ง จาก 125,000 ตำแหน่ง บ่งชี้ว่าตลาดแรงงานกำลังอ่อนตัวลงมาระยะหนึ่งแล้ว ส่วนอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นเป็น 4.2%
หุ้นธนาคารร่วงลงอย่างมากจากความกังวลว่าเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของสินเชื่อ โดยหุ้น JPMorgan Chase ร่วงลงกว่า 2% ขณะที่ Bank of America
และ Wells Fargo ต่างร่วงลงกว่า 3% นอกจากนี้ GE Aerospace และ Caterpillar ลดลงเกือบ 1% และ 2% ตามลำดับ
หลังการเปิดเผยข้อมูลตลาดแรงงานในเดือนกรกฎาคม ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่าเขาจะไล่ผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแรงงานออก โดยกล่าวหาว่าเธอแก้ไขตัวเลขเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมือง
ตัวเลขการจ้างงานล่าสุดเพิ่มโอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)จะดำเนินการลดอัตราดอกเบี้ยและพยุงเศรษฐกิจได้เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยเทรดเดอร์คาดว่าโอกาสที่เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายนจะอยู่ที่ประมาณ 86% ซึ่งถือเป็นการพลิกกลับจากเมื่อวันพุธที่โอกาสการปรับลดดอกเบี้ยลดลงอย่างมาก หลังจากที่เจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด ส่งสัญญาณว่า
เฟดต้องรอและประเมินผลกระทบของภาษีศุลกากรต่อเงินเฟ้อก่อนที่จะลดอัตราดอกเบี้ย
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ลดลงมาอยู่ที่ 4.22% จากคาดการณ์ว่าเฟด จะต้องลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
การประกาศขึ้นภาษีนำเข้าใหม่ซึ่งอยู่ระหว่าง 10% ถึง 41% กับหลายประเทศก่อนเส้นตายการใช้ภาษีในวันศุกร์ของทรัมป์ ก็ส่งผลต่อความเชื่อมั่นเช่นกัน ทำเนียบขาวระบุว่า สินค้าที่ถูกสวมสิทธิจากประเทศต้นทางเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้าจะถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มอีก 40%
การเทขายทำกำไรในหุ้นยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีก็ส่งผลกระทบต่อดัชนีหลัก โดยหุ้น Amazon ร่วงลงกว่า 8% หลังจากที่ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซรายนี้คาดการณ์รายได้จากการดำเนินงานที่ไม่ชัดเจนสำหรับไตรมาสปัจจุบัน ส่วนหุ้น Apple ร่วงลง 2.5% แม้คาดการณ์รายได้ไตรมาสปัจจุบันสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาด แต่ซีอีโอ ทิม คุก เตือนว่า ภาษีของสหรัฐฯ จะเพิ่มต้นทุนถึง 1.1 พันล้านดอลลาร์
ตลาดหุ้นยุโรปร่วงลงหนักที่สุดในรอบกว่าสามเดือน เนื่องจากนักลงทุนกำลังเผชิญกับผลกระทบจากมาตรการจัดเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ หลายสิบประเทศ รวมถึงมาตรการจัดเก็บภาษีนำเข้าจากสวิตเซอร์แลนด์ถึง 39%
นักลงทุนทั่วโลกต่างหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นที่มีความเสี่ยงสูง ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังคงเดินหน้าเก็บภาษีนำเข้าอย่างหนัก โดยประกาศก่อนถึงเส้นตายข้อตกลงการค้าในวันศุกร์จัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าส่งออกจากคู่ค้าหลายสิบประเทศ รวมถึงแคนาดา บราซิล อินเดีย และไต้หวัน โดยประเทศที่ไม่ได้อยู่ในรายชื่อคู่ค้าจะต้องเสียภาษีนำเข้าพื้นฐาน 10%
ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 535.79 จุด ลดลง 10.32 จุด, -1.89% เป็นการลดลงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบสัปดาห์นับตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน เมื่อทรัมป์เปิดเผยมาตรการภาษีต่อโลก
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,068.58 จุด ลดลง 64.23 จุด, -0.70%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,546.16 จุด ลดลง 225.81 จุด, -2.91%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 23,425.97 จุด ลดลง 639.50 จุด, -2.66%
ดัชนีความผันผวนของ STOXX พุ่งขึ้น 4.25 จุด สู่ระดับสูงสุดในรอบกว่าหนึ่งเดือน
หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ร่วงลง 1% หลังจากประธานาธิบดี ทรัมป์ส่งจดหมายถึงผู้บริหารบริษัทยาชั้นนำ 17 แห่ง รวมถึง Novo Nordisk และ Sanofi โดยระบุแนวทางที่บริษัทเหล่านี้ควรลดราคายาตามใบสั่งแพทย์ในสหรัฐฯ
กลุ่มธุรกิจนี้ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากคำเตือนเรื่องผลกำไรของ Novo Nordisk ในสัปดาห์นี้ หุ้น Novo Nordisk ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เดนมาร์ก ร่วงลง 1.8% และร่วงลงอย่างหนักเป็นประวัติการณ์ในรอบสัปดาห์นี้
หุ้นกลุ่มธนาคารที่ฟื้นตัวในช่วงต้นสัปดาห์ ลดลง 3.4% และเป็นกลุ่มที่ลดลงมากสุด ในรอบวันเดียวนับตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน
ข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐฯ ยิ่งทำให้ความเชื่อมั่นแย่ลง หลังจากการจ้างงานชะลอตัวลงอย่างมากในเดือนกรกฎาคม ซึ่งทำให้คาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนหน้า ขณะที่นักลงทุนก็คาดการณ์ถึงการเคลื่อนไหวในเชิงผ่อนคลายของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในช่วงปลายปีนี้
หุ้น Campari ของอิตาลีเป็นหุ้นที่ปรับขึ้นดีที่สุดในดัชนี STOXX 600 โดยเพิ่มขึ้น 7.9% หลังจากรายงานกำไรจากการดำเนินงานในไตรมาสที่สองเพิ่มขึ้น
ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนกันยายน ลดลง 1.93 ดอลลาร์ หรือ 2.79% ปิดที่ 67.33 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนตุลาคม ลดลง 2.03 ดอลลาร์ หรือ 2.83% ปิดที่ 69.67 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
———————————————————————————————————————————————————–

