เบี้ยประกันชีวิตครึ่งปีแรก 3.26 แสนล้านบาท โต 4.87% เร่งปรับตัวรับมือความเสี่ยงรอบด้าน

HoonSmart.com>>สมาคมประกันชีวิตไทย เผยครึ่งแรกปี 2568 เบี้ยรวมเพิ่มขึ้น 4.87% แตะ 326,588 ล้านบาท ประกันสุขภาพและแบบบำนาญพุ่งสูงสุด เดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยี ปรับตัวตามมาตรฐาน TFRS 17 รับมือความผันผวนเศรษฐกิจและความเสี่ยงรอบด้าน สร้างความมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว

นางนุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย เปิดเผยภาพรวมธุรกิจประกันชีวิตในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 (มกราคม – มิถุนายน) ว่ามีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีเบี้ยประกันภัยรับรวม (Total Premium) อยู่ที่ 326,588 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.87% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567

ทั้งนี้ เบี้ยประกันภัยรับรายใหม่ (New Business Premium) มีจำนวน 94,916 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.38% แยกเป็น เบี้ยปีแรก (First Year Premium) 62,938 ล้านบาท โต 9.32% ,เบี้ยจ่ายครั้งเดียว (Single Premium) 31,978 ล้านบาท โต 3.77%

ด้านเบี้ยประกันภัยรับปีต่อไป หรือเบี้ยต่ออายุ (Renewal Premium) 231,672 ล้านบาท โต 3.88% อัตราความคงอยู่ของกรมธรรม์ อยู่ที่ 82%

ผลิตภัณฑ์ที่เติบโตโดดเด่นอันดับ 1 ได้แก่ เบี้ยสัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพ 61,219.52 ล้านบาท โต 18.99% คิดเป็น 18.75% ของเบี้ยรวม มาจากความตระหนักเรื่อง Medical Inflation และค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้นกว่า 15% รวมถึงการขยายอายุรับประกันสุขภาพถึง 80 ปี

เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ (Pension) 6,241.62 ล้านบาท โต 9.51% คิดเป็น 1.91% ของเบี้ยรวม มาจากการเข้าสู่ สังคมสูงวัย (Aged Society) อย่างเต็มตัว ส่งผลให้คนรุ่นใหม่ตระหนักถึงความสำคัญของการวางแผนทางการเงินในระยะยาว โดยเฉพาะการออมเพื่อวัยเกษียณผ่านประกันชีวิตแบบบำนาญ ซึ่งเป็นการออมที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่ได้รับทั้งความคุ้มครองชีวิต และยังได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีตามมาตรการของภาครัฐอีกด้วย

เบี้ยประกันชีวิตควบการลงทุน (Investment Link) 19,412.36 ล้านบาท โต 7.54% คิดเป็น 5.94% เนื่องจากนักลงทุนมองหาช่องทางการลงทุนใหม่ ที่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงขึ้นภายใต้ระดับความเสี่ยงที่พอรับได้ รวมถึงได้รับความคุ้มครองจากการประกันชีวิตรวมอยู่ด้วย กอรปกับภาวะที่เศรฐกิจโลก และการลงทุนมีความผันผวน นักลงทุนส่วนหนึ่งได้มองหาช่องทางการลงทุนที่มีความยืดหยุ่นและปลอดภัย ประกันชีวิตควบการลงทุนจึงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น

เกาะติดความเสี่ยง

นางนุสรา กล่าวว่า ธุรกิจประกันชีวิตยังคงต้องติดตามแนวโน้มและความผันผวนของสถานการณ์เศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในประเด็นสำคัญอย่าง อัตราดอกเบี้ย และ ภาวะเงินเฟ้อ
ส่งผลกระทบโดยตรงต่อพฤติกรรมการออม การลงทุน

รวมถึงภาระหนี้สินของภาคครัวเรือน ที่มีผลต่อความสามารถการใช้จ่ายและการวางแผนทางการเงินของประชาชน นอกจากนี้ ยังต้องจับตาสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์โลกที่ยังคงมีความตึงเครียดในหลายภูมิภาค รวมทั้งปัญหาชายแดนประเทศไทย และการดำเนินมาตรการทางภาษีของสหรัฐฯ นำไปสู่ภาวะสงครามการค้า สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อราคาพลังงาน ระดับเงินเฟ้อ จนทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว

ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) มลภาวะต่างๆ และการระบาดของโรคอุบัติใหม่ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งไม่เพียงกระทบต่อภาคเศรษฐกิจโดยรวมแต่ยังส่งผลต่อความต้องการ ความเชื่อมั่น และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีต่อผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตโดยตรง

เร่งปรับตัวรับมือ

ภาคธุรกิจประกันชีวิตยังต้องเร่งปรับตัวให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงด้าน มาตรฐานการรายงานทางการเงิน TFRS 17 ซึ่งมีผลเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2568 ส่งผลต่อวิธีการรับรู้รายได้ การประเมินความเสี่ยงของกรมธรรม์ และการเปิดเผยข้อมูลทางบัญชีที่โปร่งใสยิ่งขึ้น

เร่งพัฒนาเทคโนโลยี เช่น Big Data, AI และ Data Analytics เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน สนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงความต้องการของผู้บริโภค และเพิ่มความแม่นยำในกระบวนการต่าง ๆ อาทิ การเสนอขาย

การพิจารณารับประกันภัย การพิจารณาสินไหม ตลอดจนการให้บริการหลังการขาย การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคให้แม่นยำมากขึ้น เพื่อยกระดับประสบการณ์และความพึงพอใจของประชาชนในทุกมิติ

ควบคู่กับการเดินหน้าผนวกแนวคิด ESG (Environment, Social, Governance) เข้ากับการดำเนินงาน เพื่อสร้างคุณค่าให้กับสังคมและขับเคลื่อนธุรกิจสู่อนาคตที่ยั่งยืน

ประกันชีวิตจำเป็นต้องลงทุนและบริหารจัดการต้นทุนในการปรับเปลี่ยนระบบภายในให้สามารถรองรับมาตรฐานดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน รวมไปถึงการพัฒนาและนำเสนอนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคในยุคดิจิทัล ขณะเดียวกันต้องมีการส่งเสริมความเข้าใจในเรื่องการวางแผนชีวิตและการบริหารความเสี่ยงให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง

“ธุรกิจประกันชีวิตไทยยังคงมีศักยภาพในการเติบโตอย่างมั่นคง หากสามารถปรับตัวรับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ”  นางนุสรา กล่าว