SCGD ชูกำไร 223 ลบ.Q2/68 ลดลง 21.61% ขายดีมาร์จิ้นเพิ่ม ปันผลกลางปี 15 สต.

HoonSmart.com>>”เอสซีจี เดคคอร์” (SCGD) เปิดผลงานไตรมาส 2/68 กำไรสุทธิ 222.56 ล้านบาท ลดลง 21.61%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ผลกระทบจากค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นครั้งเดียวในการปรับโครงสร้างธุรกิจ ส่วนความสามารถทำกำไรดีขึ้นตามปริมาณขายและมาร์จิ้นสูงสุดในรอบ 5 ไตรมาสที่ผ่านมา ตาม 4 กลยุทธ์เพิ่มยอดขายและ 4 กลยุทธ์เพิ่มความสามารถในการทำกำไร  บอร์ดมีมติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 0.15 บาท ขึ้น XD  8 ส.ค.นี้

บริษัท เอสซีจี เดคคอร์ (SCGD) รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาสที่ 2/2568 มีกำไรสุทธิ 222.56 ล้านบาท กำไรหุ้นละ 0.13 บาท ลดลงจำนวน 61.34 ล้านบาท คิดเป็น 21.61% จากที่มีกำไรสุทธิ 283.90 ล้านบาทหรือ 0.17 บาทต่อหุ้น รวมครึ่งปีนี้กำไรสุทธิ 439.23 ล้านบาท กำไรหุ้นละ 0.27 บาท ลดลงจำนวน 102.04 ล้านบาทหรือ 18.85% จากกำไรสุทธิ 541.27ล้านบาทหรือ 0.33 บาทต่อหุ้นในช่วงเดียวกันของปีก่อน

ในไตรมาสที่ 2/2568 บริษัทยังคงมีความสามารถในการทำกำไรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 28.3% และหากไม่รวมผลกระทบจากค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นครั้งเดียวหรือ Non-Recurring อาทิค่าใช้จ่ายในการปรับโครงสร้างธุรกิจ บริษัทมี EBITDA on sales และอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 15.2% และ 4.8%ตามลำดับ ซึ่งสูงสุดในรอบ 5 ไตรมาสที่ผ่านมานับตั้งแต่ไตรมาส 2/2567

ปริมาณยอดขายเติบโตขึ้น 21% จากไตรมาสก่อนหน้า ตามปริมาณการขายวัสดุตกแต่งพื้นผิวเพิ่มสูงขึ้น จาก 31 ล้านตารางเมตร เป็น 31.7 ล้านตารางเมตร เนื่องจากปริมาณการขายวัสดุตกแต่งพื้นผิวในประเทศเวียดนามเพิ่มขึ้นจาก 10.5 ล้านตารางเมตร เป็น 12.7 ล้านตารางเมตร ตามเศรษฐกิจและตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ฟื้นตัว ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้น และ EBITDA on sales สูงสุดในรอบ 5 ไตรมาส อยู่ที่ 28.3% และ 15.2%

การเติบโตของยอดขายมาจาก 4 กลยุทธ์ ได้แก่ 1. ตั้งเป้าให้ประเทศเวียดนามเป็นฐานส่งออกที่สำคัญในช่วงครึ่งปีแรก ประเทศเวียดนามมีรายได้จากการส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น +27.3% และสามารถเปิดตลาดส่งออกใหม่ๆเพิ่มเติม ได้แก่ สิงคโปร์ เม็กซิโก และสาธารณรัฐเช็ก

2.กลยุทธ์เพิ่มกำลังการผลิตสินค้ากระเบื้องเกรซพอร์ชเลนในประเทศเวียดนาม อีก 5 ล้านตารางเมตรในปี 2568 คิดเป็นกำลังการผลิตรวม 19 ล้านตารางเมตรและตั้งเป้าเพิ่มเป็น 45 ล้านตารางเมตรในปี 2573

3.เพิ่มการนำเข้าสินค้าที่มีการเติบโตสูง เพื่อเพิ่มความหลากหลายพอร์ตสินค้าในประเทศไทย และ 4.กลยุทธ์เติบโตพอร์ตสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (High ValueAdded, HVA) ซึ่งมีมาร์จิ้นสูงกว่าสินค้า Commodity 5-10% โดยสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 37%

ขณะที่มี 4 กลยุทธ์เพิ่มความสามารถในการทำกำไร ได้แก่ 1.ลดต้นทุนพลังงานอย่างต่อเนื่อง ช่วยลดต้นทุนผลิตกว่า 36 ล้านบาท/ปี จากพลังงานทดแทนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต รวมถึงลดต้นทุนบริหารจัดการ 140 ล้านบาท/ปี ด้วย AI และ Digital 2.ลดต้นทุนวัตถุดิบ 3. ปรับโครงสร้างธูรกิจและลดเงินทุนหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง และ4. เพิ่มศักยภาพการแข่งขันผ่านการร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลก

ทางด้านคณะกรรมการบริษัทฯมีมติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลปีนี้ที่หุ้นละ 0.15 บาท กำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) วันที่ 13 ส.ค. 2568 วันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล(XD) วันที่ 8 ส.ค.นี้ และจ่ายเงินวันที่ 27 ส.ค. 2568

ด้านนายนำพล มลิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCGD กล่าวว่า แนวโน้มธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังคาดเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรก ได้แรงหนุนจากการเติบโตจากเวียดนามเป็นหลัก และปักหมุดเวียดนามเป็นฐานการผลิต-ส่งออกเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของบริษัท โดยตั้งเป้าเพิ่มยอดขายจากเวียดนามเพิ่มเป็น 30-40% ภายใน 3 ปีข้างหน้า (ปี 2568-2570) จากปัจจุบันอยู่ที่ราว 23-25%
ส่วนภาพรวมทั้งปี 2568 คาดเติบโตลดลงเล็กน้อยจากปี 2567 เนื่องจากครึ่งปีแรกยอดขายในไทยชะลอตัวลงค่อนข้างมากคาดครึ่งปีหลังทรงตัว

ส่วนกรณีสหรัฐกำหนดอัตราภาษีนำเข้าจากไทย 36% ส่งผลกระทบทางตรงกับบริษัทค่อนข้างน้อย เนื่องจากส่งออกไปตลาดสหรัฐมีน้อยกว่า 1%  ขณะที่บริษัทเป็นผู้ประกอบการในภูมิภาคอาเซียนที่มีโรงงานอยู่ในหลายประเทศแพื่อรองรับความผันผวน  สามารถใช้เวียดนามเป็นฐานการส่งออกได้ เนื่องจากมีศักยภาพแข่งขันในระดับโลก