PTTEPกำไรแค่ 1.35 หมื่นลบ.Q2/68 ปันผล 4.10 บาท ทุ่ม1.45 หมื่นลบ.เพิ่มพอร์ตก๊าซ

HoonSmart.com>>ปตท.สผ.เปิดไตรมาส 2/68 กำไรแค่ 13,515 ล้านบาท ทรุด 43.64% จากปีก่อน รวม 6 เดือน 30,076 ล้านบาท ลดลง 29.50% จากราคาขายลงตามราคาน้ำมันดิบ-บาทแข็ง-ค่าเสื่อมเพิ่ม คาดราคาเฉลี่ยน้ำมันดิบดูไบตลอดทั้งปี 65-75 ดอลลาร์ คุยครึ่งปีแรกประสบความสำเร็จขยายการลงทุนในพื้นที่ยุทธศาสตร์ นำส่งรายได้เข้ารัฐกว่า 30,200 ล้านบาท จ่ายปันผลระหว่างกาล 4.10 บาท/หุ้น ทุ่มเงิน  1.45 หมื่นล้านบาทขยายลงทุนในแปลง A-18 พื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลย์

บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ ปตท.สผ. (PTTEP) รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาสที่ 2/2568 มีกำไรสุทธิ 13,515 ล้านบาท คิดเป็นกำไรหุุ้นละ 3.41 บาท ลดลงจำนวน 10,463 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 43.64% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 23,978 ล้านบาท หรือกำไรหุ้นละ 6.04 บาท และลดลงจากไตรมาสแรกปีนี้ โดยรวมครึ่งปีนี้กำไรทั้งสิ้น 30,076 ล้านบาท หรือ 7.58 บาทต่อหุ้น ลดลงจำนวน 12,584 ล้านบาทหรือ 29.50% จากที่มีกำไรสุทธิ 42,660 ล้านบาทหรือ 10.75 บาทต่อหุ้นในช่วงเดียวกันปีก่อน

นายมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.สผ. เปิดเผยผลการดำเนินงานในรอบ 6 เดือนแรกของปี 2568 ว่า บริษัทมีความก้าวหน้าในการขยายธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม โดยชนะการประมูลแปลงสัมปทานเร็กเกนเน่ ทู (Reggane II) ในประเทศแอลจีเรีย ร่วมกับบริษัท Eni Algeria Exploration B.V. และได้ลงนามในสัญญาแบ่งปันผลผลิตเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งสัญญาจะมีผลเสร็จสมบูรณ์เมื่อมีประกาศอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลแอลจีเรีย ปตท.สผ. ถือสัดส่วนการลงทุน 34% โดยมีการค้นพบแหล่งก๊าซธรรมชาติแล้ว และยังมีพื้นที่ที่มีศักยภาพในการสำรวจเพิ่มเติม อีกทั้งแปลงเร็กเกนเน่ ทู ยังตั้งอยู่ใกล้โครงการแอลจีเรีย ทูอัท (Algeria Touat Project) ซึ่งเป็นโครงการผลิตก๊าซธรรมชาติที่ ปตท.สผ. ได้ประกาศเข้าลงทุนไปก่อนหน้านี้ จึงสามารถสร้างความต่อเนื่องเชิงกลยุทธ์ในการพัฒนา และการบริหารจัดการแหล่งก๊าซธรรมชาติร่วมกันได้

สำหรับในภูมิภาคตะวันออกกลาง ปตท.สผ. ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงขยายอายุสัญญาแบ่งปันผลผลิตในโครงการโอมาน แปลง 53 ไปจนถึงปี 2593 นอกจากนี้ ยังได้รับอนุมัติแผนพัฒนาโครงการและสัญญาสัมปทานผลิตปิโตรเลียมของโครงการอาบูดาบี ออฟชอร์ 2 จากหน่วยงานของรัฐอาบูดาบีในยูเออี หลังจากที่ประสบความสําเร็จในการค้นพบแหล่งก๊าซธรรมชาติ ซึ่งจะนำไปสู่การตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย (FID)

ผลประกอบการในรอบ 6 เดือนแรกของปี 2568 ปตท.สผ. มีรายได้รวม 148,531 ล้านบาท (เทียบเท่า 4,431 ล้านดอลลาร์สหรัฐ -สรอ.) มีปริมาณขายปิโตรเลียมเฉลี่ยอยู่ที่ 494,552 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ซึ่งส่วนใหญ่มาจากโครงการ G1/61 ที่เพิ่มอัตราการผลิตก๊าซธรรมชาติในเดือนมี.ค. 2567 และโครงการมาเลเซีย แปลงเค ที่มีการขายน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น รวมถึงการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในโครงการสินภูฮ่อมเมื่อเดือนเม.ย.2568

ในขณะที่ราคาขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ยปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก มาอยู่ที่ 44.85 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ และมีต้นทุนต่อหน่วย (Unit Cost) ที่ 30.9 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ

สาเหตุที่ทำให้ปตท.สผ.มีกำไรสุทธิและกำไรจากการดำเนินงานปกติลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2568 เนื่องจากราคาขายเฉลี่ยของบริษัทอยู่ที่ 44.01 ดอลลาร์สรอ. ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ ลดลง 4% ตามทิศทางราคาน้ำมันดิบ ประกอบกับต้นทุนต่อหน่วยที่เพิ่มขึ้น 1% มาอยู่ที่ 31.10 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ เนื่องจากค่าเสื่อมราคา ค่าสูญสิ้น และค่าตัดจำหน่ายที่เพิ่มขึ้นสุทธิกับปริมาณขายเฉลี่ยต่อวันที่เพิ่มขึ้น 4% มาอยู่ที่ 504,772 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน โดยหลักจากโครงการจี 1/61 และโครงการจี 2/61 ที่มีการปิดซ่อมบำรุงลดลง และการขายน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นของโครงการในตะวันออกกลางและแอฟริกา รวมถึงการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในโครงการสินภูฮ่อม

นอกจากนี้ค่าเงินบาทยังแข็งค่าขึ้นอย่างมีนัยสำคัญประมาณ 4% ปิดที่ 32.56 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. จาก 33.93 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. เมื่อสิ้นไตรมาส 1 โดยหลักเป็นผลมาจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ สรอ.

ส่วนฐานะการเงิน ณ สิ้นไตรมาส 2/2568 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 28,624 ล้านดอลลาร์ สรอ. และมีหนี้สินรวม 12,548 ล้านดอลลาร์ สรอ. ซึ่งเป็นส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย 3,883 ล้านดอลลาร์ สรอ. มีส่วนของผู้ถือหุ้นที่ 16,076 ล้านดอลลาร์ สรอ. ทำให้อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นยังคงอยู่ในระดับดีที่ 0.24 เท่า ซึ่งเป็นไปตามนโยบายทางการเงินของบริษัท

ด้านคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติเสนอจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล งวด 6 เดือนแรก ปี 2568 ที่ 4.10 บาทต่อหุ้น กำหนดวันให้สิทธิผู้ถือหุ้น (Record Date) เพื่อรับสิทธิในการรับเงินปันผลวันที่ 13 ส.ค. 2568 และจะจ่ายเงินปันผลในวันที่22 ส.ค. 2568

ในรอบครึ่งแรกของปี 2568 ปตท.สผ. ได้นำส่งรายได้ให้กับรัฐในรูปของภาษีเงินได้ ค่าภาคหลวง และส่วนแบ่งผลประโยชน์อื่น ๆ จำนวนกว่า 30,200 ล้านบาท เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ เช่น การพัฒนาชุมชน การศึกษา และการวิจัยและพัฒนา เป็นต้น นอกจากนี้ รัฐยังได้รับส่วนแบ่งของผลผลิตปิโตรเลียมจากโครงการ G1/61 และ G2/61 ซึ่งอยู่ภายใต้สัญญาแบ่งปันผลผลิต (PSC) เป็นรายได้ทางตรงจากการผลิตปิโตรเลียมที่รัฐนำมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาประเทศอีกส่วนหนึ่งด้วย

นายมนตรียังกล่าวอีกว่า บริษัทย่อยคือ พีทีทีอีพี จอยท์ ดีเวลลอปเมนท์ เอสจี ได้ลงนามสัญญาซื้อขาย (SPA) เพื่อเข้าซื้อหุ้นทั้งหมดในบริษัท Hess International Oil Corporation จากเดิมถือสัดส่วน 50% ในแปลง A-18 ในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย–มาเลเซีย (Malaysia–Thailand Joint Development Area – MTJDA) ซึ่งเป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการผลิตกระแสไฟฟ้าในบริเวณภาคใต้ของประเทศไทย

ทั้งนี้การซื้อขายดังกล่าวมีมูลค่าประมาณ 450 ล้านดอลลาร์ สรอ. คิดเป็นประมาณ 14,500 ล้านบาท ซื้อจากบริษัท Hess (Bahamas) Limited และ Hess Asia Holdings Inc. ที่มีเชฟรอนเป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมด จากการควบรวมกิจการระหว่าง Chevron และ Hess

การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้มีผลสมบูรณ์แล้ว และจะสามารถเพิ่มปริมาณสำรองปิโตรเลียมและปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติให้กับบริษัทได้ทันที รวมทั้งยังส่งผลให้ ปตท.สผ. ถือสัดส่วนการลงทุนในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย–มาเลเซีย เพิ่มเติมจากปัจจุบันที่มีการลงทุนอยู่แล้วในแปลง B-17-01 ในสัดส่วน  50%

ปัจจุบัน แปลง A-18 ผลิตก๊าซธรรมชาติได้ในอัตราประมาณ 600 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ส่งเข้าประเทศไทยในอัตรา 300 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน หรือประมาณ  6% ของความต้องการใช้ก๊าซในประเทศไทย และส่งให้กับประเทศมาเลเซียในอัตรา 300 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน

“ปตท.สผ. ยินดีที่สามารถขยายการดำเนินงานเพิ่มเติมใน MTJDA เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพปิโตรเลียม และมีความสำคัญต่อการเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ รวมถึงการเติบโตให้กับบริษัท นอกจากแหล่งก๊าซฯ ที่มีการผลิตในปัจจุบันแล้ว ยังมีการค้นพบแหล่งก๊าซฯ ใหม่อีกหลายแหล่งในแปลงดังกล่าว และอยู่ระหว่างรอการพัฒนาเพื่อนำพลังงานขึ้นมาใช้ประโยชน์ ซึ่งการถือสัดส่วนการลงทุนของทั้ง 2 แปลง จะส่งผลให้สามารถบริหารจัดการร่วมกันแบบบูรณาการให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อตอบสนองความต้องการใช้พลังงานของทั้งสองประเทศได้อย่างต่อเนื่องและรวดเร็วยิ่งขึ้น” นายมนตรี กล่าว

ภายหลังเสร็จสิ้นการเข้าซื้อกิจการ บริษัทผู้ดำเนินการมีแผนจะเจาะหลุมผลิตและติดตั้งแท่นหลุมผลิตเพิ่มเติม รวมถึงก่อสร้างท่อส่งก๊าซฯ และคอนเดนเสท เพื่อเร่งพัฒนาและผลิตก๊าซฯ จากแปลงดังกล่าวต่อไป

MTJDA ตั้งอยู่บริเวณตอนล่างของอ่าวไทย ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 7,250 ตารางกิโลเมตร เป็นแหล่งทรัพยากรก๊าซธรรมชาติและคอนเดนเสทที่สำคัญของประเทศไทยและมาเลเซีย ปัจจุบันแปลง A-18 ประกอบด้วยแหล่งก๊าซฯ เช่น จักรวาล ภูมี สุริยา บุหลัน และบุหลันใต้ ซึ่งเริ่มการผลิตตั้งแต่ปี 2548 ส่วนแปลง B-17-01 ซึ่งบริษัทย่อยของ ปตท.สผ. ถือสัดส่วนการลงทุน 50% ประกอบด้วยแหล่งก๊าซฯ เช่น มูด้า ตาปี ตันจุง อมฤต เจ็งก้า เมลาติ และแอนดาลัส ซึ่งเริ่มการผลิตก๊าซฯ ตั้งแต่ปี 2553 ปัจจุบันสามารถผลิตก๊าซฯ ส่งเข้าประเทศไทยและมาเลเซียในอัตราประมาณ 300 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน

ในเดือนมิ.ย. 2568 ที่ผ่านมา ปตท.สผ. ครบรอบการดำเนินงาน 40 ปี  บริษัทยังคงมุ่งมั่นดำเนินงานภายใต้เจตนารมณ์ของรัฐในการสร้างความมั่นคงทางพลังงาน ปัจจุบันได้ขยายการดำเนินงานไปกว่า 50 โครงการ ใน 13 ประเทศทั่วโลก และยังคงเดินหน้าแสวงหาแหล่งพลังงานอย่างต่อเนื่อง ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายหลักในการดำเนินงาน เพื่อรองรับความต้องการใช้พลังงานของคนไทยและประเทศไทย ภารกิจของ ปตท.สผ. จึงเปรียบเสมือน “พลังของพลัง” ที่ไม่เพียงมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ แต่ยังเป็นพลังให้ทุกคนก้าวไปสู่เป้าหมายของตนได้สำเร็จปตท.สผ. เสริมความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ