LHFG กำไรครึ่งปีพุ่ง 25.8% คงเป้าสินเชื่อโต 8% รุกเพิ่ม FDI–SME ดึง AI–ESG สู่การเงินโลกใหม่

HoonSmart.com>>แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป คงเป้าสินเชื่อปี’68 โต 8%  โชว์กำไร 6 เดือนแรกพุ่ง 25.8% แม้ NIM หดตัว ผลคุมต้นทุนอยู่หมัดจัดเทคโนโลยีเอไอเสริมแกร่ง งบเฉพาะธนาคาร ปล่อยกู้รวมโต 3.4%  หนี้เสีย 2.59% อยู่ในกรอบไม่เกิน 3% ตั้งสำรอง 173% รับความผันผวน เงินกองทุน Tier 1 15.73%  BIS 17.81% พอขยายธุรกิจ-รับความเสี่ยงได้ ยัน 2 ปีนี้ไม่มีเพิ่มทุน ครึ่งปีหลังผนึก CTBC ใกล้ชิดเพิ่มขนาดธุรกิจข้ามพรมแดน เร่งขยายฐานเอสเอ็มอี- FDI-รายย่อย-ไฮเน็ตเวิร์ท ด้านบลจ.เตรียมเปิดกองทุนธีมนวัตกรรม–เศรษฐกิจใหม่ รับเทรนด์โลก

นายวรวุฒิ โตเจริญธนาผล ประธานและหัวหน้ากลุ่มการเงินและบัญชี บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป (LHFG) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2568 ท่ามกลางอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศเพียง 1.3–2.3% บริษัทมีกำไรสุทธิ 1,121 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.8% จากปีก่อนหน้า และมีสินทรัพย์รวมอยู่ที่ 361,287 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 17.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นจากการบริหารต้นทุนที่มีวินัย ควบคู่กับการเติบโตของรายได้ในกลุ่มธุรกิจหลัก

 

ภายใต้ ดำเนินธุรกิจตามหลักธรรมาภิบาลที่ดีโปร่งใสและ เน้นความยั่งยืนที่คำนึงถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจสังคมและสิ่งแวดล้อมโดยบริษัทได้รับการคัดเลือกจากสถาบันไทยพัฒน์ให้เป็น 1 ใน 100 บริษัทจดทะเบียนที่มีความโดดเด่น ด้านความยั่งยืน หรือ ESG เป็นปีที่ 10 และได้รับการรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์สำหรับองค์กร และรับรองความเป็นกลางทางคาร์บอน ประจำปี 2567 จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก(องค์การมหาชน) โดยปี 2567 บริษัทได้ชดเชยคาร์บอนเครดิต 3,998 ตันคาร์บอนไดออกไซต์เทียบเท่า

กลยุทธ์ครึ่งหลังของปี 2568 ยกระดับจากบทบาท ‘ธนาคารขนาดกลาง’ สู่ ‘กลุ่มการเงินเชิงรุก’ ผ่าน 6 ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่ การจัดการต้นทุนเงินทุน (CoF), เสริมผลตอบแทนแทนจากสินเชื่อ, เพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียม, เชื่อมระบบนิเวศเสนอผลิตภัณฑ์ครบวงจร, พลิกโฉมธุรกิจด้วยดิจิทัล–เอไอ และมุ่งสู่การเป็นธนาคารเพื่อความยั่งยืน โดยจะมีการออก AT1 Bonds มูลค่า 5 พันล้านบาท

บริษัทฯยังคงเดินหน้ากลยุทธ์ เติบโตและกระจายความเสี่ยง ทั้งด้านสินเชื่อและเงินฝาก เพื่อรักษาระดับ NIM ให้สามารถแข่งขันได้ในสภาพแวดล้อมดอกเบี้ยผันผวน โดยเชื่อว่าการเน้นลูกค้าคุณภาพ การขยายฐานสินเชื่อรายย่อย และการควบคุมต้นทุนทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ จะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความยั่งยืนในระยะยาว

สร้างการเติบโตจากกลุ่มลูกค้าที่เป็นการลงทุนตรง (FDI) โดยอาศัยเครือข่ายของธนาคาร CTBC เพื่อดึงดูดลูกค้าต่างชาติสู่ไทย โดยมีการเปิดสาขาที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะ เพื่อให้บริการลูกค้าได้ใกล้ชิดขึ้น

แม้เศรษฐกิจชะลอตัว และมีเรื่องกำแพงภาษีการค้าสหรัฐฯ แต่ลูกค้าที่ได้รับการอนุมัติการลงทุนจากบีโอไอ ยังคงเดินหน้าแผนการลงทุนตามเดิม เพราะมองว่าภาษีเป็นเรื่องชั่วคราว โดยลูกค้าอุตสาหกรรมรถยนต์กระทบมากสุด

ยกระดับ “LISA” เอไอผู้ช่วยการทำงาน สำหรับงานภายใน ตอบโจทย์การให้บริการที่ช่วยลดต้นทุน แต่มีประสิทธิภาพสูง

แบงก์คงเป้าสินเชื่อโต 8%

นายฉี ชิง-ฟู่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH Bank) เปิดเผยว่า ธนาคารเป็นธนาคารขนาดกลางที่สามารถรักษาคุณภาพของสินเชื่อควบคู่กับการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และยังคงเป้าสินเชื่อปี 2568 โต 8%

สำหรับ 6 เดือนแรกของปี 2568 มีกำไรสุทธิ 1,103 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 30.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สินเชื่อรวมเติบโต 3.4% โดยเฉพาะสินเชื่อรายย่อยที่เพิ่มถึง 9.3% สินเชื่อธุรกิจโต 1.8% และ ได้ขยายสินเชื่อ เฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรม กลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME)  ทำให้สินเชื่อ SME เติบโตอย่างมีนัยยะสำคัญจากสิ้นปีก่อนหน้านี้

ด้าน NIM ของกลุ่มอยู่ที่ระดับ 2.04% ลดลงจาก 2.32% ในปี 2567 และ 2.53% ในปี 2566 แม้ว่าผลตอบแทนจากสินเชื่อยังอยู่ในระดับสูงที่ 4.62% ขณะที่ต้นทุนทางการเงิน (Cost of Fund) ยังคงทรงตัวที่ 2.26%

ขณะที่ฐานลูกค้ารายย่อยเพิ่มขึ้น 13% จากปีก่อนซึ่งเป็นผลสำเร็จจากผลิตภัณฑ์เงินฝากดิจิตอล ผ่านแอปฯ B-You Max และการใช้เอไอวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า รวมถึงการเติบโตของธุรกิจบริหารความมั่งคั่งหรือ Wealth Management

นอกจากนี้ยังได้ใช้ประโยชน์จาก CTBC Group จากไต้หวัน ซึ่งเป็นบริษัทแม่ ในการสนับสนุนให้สินเชื่อกลุ่มลูกค้าต่างประเทศผ่านสินเชื่อธุรกิจต่างประเทศ
Trade Finance และ FX

อัตราส่วนหนี้เสีย (NPL) ที่ 2.59% ถือว่าอยู่ในกรอบที่วางไว้ไม่ให้เกิน 3% แต่ไม่ได้นิ่งนอนใจได้ตั้งสำรองหนี้เสีย หรือ พร้อม NPL Coverage สูงถึง 173% เพื่อสร้างความเข้มแข็งด้านการบริหารความเสี่ยง

อัตราส่วนเงินกองทุน Tier 1 อยู่ที่ 15.73% และ  BIS อยู่ที่ 17.81% เพียงพอขยายธุรกิจ-รองรับความเสี่ยงในระยะกลาง-ยาว ยัน 2 ปีนี้ไม่มีเพิ่มทุนใหม่แน่นอน

เร่งขยายฐานลูกค้าใน-ต่างประเทศ

สำหรับ กลยุทธ์ครึ่งหลังปี 2568 เดินหน้าสานต่อตำแหน่งผู้นำธนาคารขนาดกลาง มุ่งเพิ่มอัตราผลตอบแทน ภายใต้ 6 แกนหลัก

ด้านสินเชื่อรายย่อย พร้อมพลิกมาตรการ“ คุณสู้เราช่วย” เป็นกลยุทธ์สู่เครื่องมือเสริมความมั่นคงให้รายย่อยที่ประสบปัญหาการเงิน ช่วยให้ปิดหนี้ได้ไวและรักษาทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันไว้ได้ ผ่านผลิตภัณฑ์ Yield สูง เช่น “Home for Cash” และสินเชื่อบ้านมือสอง เพื่อรองรับอัตราดอกเบี้ยขาลงในช่วงปลายปีนี้ถึงกลางปีหน้า

ขณะเดียวกันยังเปิดเกมรุกในสินเชื่อส่วนบุคคล เจาะกลุ่มรายได้สูงด้วยกลยุทธ์การกำหนดราคาตามความเสี่ยง (Risk-Based Pricing)

กลุ่มลูกค้าครอบครัว เน้นเสริม Loyalty ด้วยบริการมรดกทางการเงินและสิทธิพิเศษ

ในกลุ่ม SME พัฒนาผลิตภัณฑ์เฉพาะทาง เพื่อตอบโจทย์ธุรกิจในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น อิเล็กทรอนิกส์ , บรรจุภัณฑ์ และการขนส่ง ที่ออกแบบให้ตอบโจทย์เฉพาะอุตสาหกรรมและลูกค้าเฉพาะรายเพื่อเสริมโอกาสเติบโตในภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย

กลุ่มลูกค้าธุรกิจข้ามชาติ (International Business) จะใช้เครือข่าย CTBC บริษัทแม่ในไต้หวัน ขยายฐานลูกค้า FDI ที่เข้ามาลงทุนในไทย โดยให้บริการทางการเงินครบวงจร ทั้ง Supply Chain Financing และ Trade Finance

ควบคู่กับการเพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียม ทั้งจากธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง ผ่านการเพิ่มทักษะ RM ให้คำปรึกษาการเงินแบบองค์รวม และการขยายผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมทุกช่วงชีวิตการลงทุน

ในด้านบริการต่างประเทศ เตรียมเสริมความแข็งแกร่งให้กับ แพลตฟอร์ม Corporate E-Banking เพื่อรองรับบริการการซื้อขายเงินตราต่างประเทศ และระบบการชำระเงินและธุรกรรมการค้าต่างประเทศโดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน

ดึงเทคโนโลยีเอไอ มาช่วยในการทำงาน โดยเปิดตัว “LISA” ผู้ช่วย AI สำหรับพนักงาน เพิ่มประสิทธิภาพงานบริการและข้อมูล ลดต้นทุน ขณะเดียวกันยังพัฒนาช่องทางออนไลน์ เพื่อให้บริการลูกค้าแบบไร้รอยต่อทุกกลุ่ม

ในมิติของ การเงินเพื่อความยั่งยืน เตรียมเปิดตัวสินเชื่อสีเขียว และสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับผลลัพธ์ด้านความยั่งยืน (Sustainability-Linked Loans) ร่วมกับพันธมิตร 2 ราย โดยเน้นช่วยเหลือ SME ผ่านผลิตภัณฑ์ “Green Transition Loan” เพื่อส่งเสริมการลดมลพิษและจัดการของเสีย

บลจ.AUM โต 4.5% ยืน 66,900 ล้านบาท

นายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้อำนวยการ บลจ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH Fund) เปิดเผยผลงานครึ่งแรกของปี 2568 มีสินทรัพย์สุทธิของกองทุนรวมที่นับรวมกองทุนอสังหาริมทรัพย์และทรัสต์ เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้การบริหาร 66,900 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 4.5% จากปี 2567 โดยกองทุนส่วนบุคคลมีขนาดกองทุน 13,093 ล้านบาทและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 9,596 ล้านบาท

สำหรับกลยุทธ์ครึ่งหลังปี 2568 ยังคงขับเคลื่อน กลยุทธ์เชิงรุกเพื่อเสริมสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน และปรับแนวทางการเติบโตของสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ ไปสู่กลุ่มลูกค้าผู้มีรายได้สูง ลูกค้าสถาบันและองค์กร ด้วยการนำเสนอทางเลือกที่ตอบโจทย์ลูกค้านอกเหนือจากการลงทุน

จับธีมการลงทุนแห่งอนาคต

ทั้งนี้ จะมีการปรับพอร์ตการลงทุนสู่ธุรกิจแห่งอนาคตให้สอดคล้องกับโลกการลงทุนที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์นักลงทุนยุคใหม่ พร้อมทั้งยกระดับมาตรฐานการบริหารสินทรัพย์เพื่อสร้างความยั่งยืนและความยืดหยุ่นในทุกสภาวะตลาด

เตรียมเปิดตัวกองทุนใหม่ ที่เน้นธีมการลงทุนเชิงนวัตกรรม ประกอบด้วย

กลุ่ม Quantum Breakthroughs การลงทุนในเทคโนโลยีควอนตัมที่กำลังเปลี่ยนแปลงโลก
กลุ่ม Space Innovation การลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอวกาศ
กลุ่ม เศรษฐกิจใหม่ (New Economy).ธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยดิจิทัลและพลังงานสะอาด
กลุ่ม พัฒนากองทุนที่เน้นความยั่งยืน (Sustainability) และความยืดหยุ่น (Flexibility) เพื่อรองรับทุกสภาวะตลาด โดยเตรียมเปิดตัวกองทุนตราสารทุนและตราสารหนี้ที่ตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงจากโลกาภิวัตน์สู่โมเดลหลายขั้ว (Multi-Polar Model)

สำหรับ กลยุทธ์กองทุนส่วนบุคคล (Private Fund Strategy) มุ่งขยายฐานลูกค้า  Ultra High Net Worth และนักลงทุนสถาบัน,เพิ่มการลงทุนโดยตรงในหุ้นต่างประเทศ พร้อมออกแบบพอร์ตการลงทุนที่ปรับแต่งตามความต้องการของลูกค้า,ส่งเสริมความร่วมมือกับตัวแทนขายเพื่อขยายฐานลูกค้า

ด้านฐานลูกค้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund Strategy) เน้นพัฒนาระบบ Life Path ที่ช่วยปรับสัดส่วนการลงทุนอัตโนมัติตามช่วงอายุของสมาชิก,ขยายฐานสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) โดยเน้นการลงทุนในบริษัทเอกชนและการเข้าร่วมประมูลของรัฐวิสาหกิจ

ขณะที่ กลยุทธ์ด้าน REITs  เตรียมเข้าซื้อสินทรัพย์ใหม่ ภายในสิ้นปี 2568 ,ทำการปรับปรุงทรัพย์สินในพอร์ตเพื่อเพิ่มมูลค่า เช่น การปรับปรุงครั้งใหญ่ในสินทรัพย์ที่มีศักยภาพ

ธุรกิจโบรกฯผุดสินค้าใหม่-เทรดข้าม 2 ตลาด

นายกานต์ อรรถธรรมสุนทร กรรมการผู้อำนวยการ บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH Securities) ระบุว่า ครึ่งแรกของปี 2568 มีรายได้ค่านายหน้าอยู่ที่ 40.2 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้า สาเหตุหลักมาจาก การหดตัวของปริมาณการซื้อขายของตลาดหุ้นไทย ดัชนีหุ้นไทยลดลงถึง 22.2% จากสิ้นปี 2567 มากกว่าตลาดหุ้นส่วนใหญ่ในภูมิภาค มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันหดตัวเหลือเพียง 41,856 ล้านบาท จากแรงกดดันรอบด้าน ทั้งในและต่างประเทศ

สำหรับครึ่งปีหลัง มุ่งลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการบริหาร ออกสินค้าใหม่ ขยายฐานลูกค้าข้ามชาติ ด้วยการปรับโมเดลสาขาสู่ระบบ Work from Home เพื่อลดต้นทุนคงที่ พร้อมใช้เครื่องมือดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ทำการจัดโครงสร้างองค์กรให้ กระชับแต่มีประสิทธิภาพสูงโดยคงจำนวนพนักงานในระดับที่จำเป็นเพื่อความคล่องตัว

ทำการทบทวนและปรับปรุง Risk Appetite ให้ระบุประเภทและระดับความเสี่ยงที่องค์กรยอมรับได้อย่างชัดเจนขึ้น ควบคุมความเสี่ยงในสภาวะตลาดทุนที่ยังมีความผันผวนและความไม่แน่นอนสูง

ควบคู่กับการขยายฐานลูกค้าใหม่ ขยาย Cross-Border Business ร่วมกับ CTBC ฮ่องกง เพื่อเปิดตลาดต่างประเทศ เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น ETF (Exchange-Traded Fund), ELN (Equity-Linked Notes) รองรับกลยุทธ์ลงทุนเฉพาะกลุ่ม

ยกระดับบริการที่ปรึกษาด้านการลงทุน เพิ่มฟีเจอร์ใหม่บน LHB YOU เช่น i-Bond เพื่อให้ลูกค้าสามารถลงทุนพันธบัตรผ่านดิจิทัลได้สะดวก

นอกจากนี้ จะมีการนำเทคโนโลยี เข้ามาเสริมบริการต่างๆ อาทิ พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลเพิ่มเติม เช่น E-IPO บน Prompt Trade (สำหรับพันธบัตรและตราสารหนี้), ระบบหลังการซื้อขาย (Post-Trade Platform) ระยะที่ 2 ร่วมมือกับ CTBC ไต้หวัน เพื่อพัฒนา Market Maker Program สำหรับ ETF เพื่อเพิ่มความสามารถในการดูแลสภาพคล่อง และ สร้างรายได้ใหม่จากธุรกิจ ETF