คิดจะพัก(เงิน) คิดถึงตราสารหนี้ไทย เครดิตเหนือ BBB อายุ 2 ปี ยีลด์ 3-4%

HoonSmart.com>>บล.เอเซีย พลัส แนะ Selective Buy ตราสารหนี้กลุ่มที่มีเครดิตสูงกว่า BBB  อายุไม่เกิน 2 ปี ยีลด์ 3–4% ลดการถือระยะยาวในกลุ่ม High Yield ที่มีความผันผวนสูง รับความเสี่ยงครึ่งปีหลัง ทั้งดอกเบี้ยต่ำ-บาทแข็ง-ภาษีการค้า-ภัยพิบัติ-หนี้เสีย

น.ส.ลัพธ์พร ปานะกุล ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์ตลาดรอง บล.เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า แม้ตลาดตราสารหนี้ไทยจะดูซึมเซา แต่อย่าเพิ่งหมดหวัง ยังมีทางเลือกที่ “พักเงิน” แล้วได้ผลตอบแทนงาม หากลงทุนอย่างมีชั้นเชิงและมีเป้าหมายที่ชัดเจน

ทั้งนี้ แนะนำ ลงทุนแบบ Selective Buy มากขึ้น โดยเน้นตราสารที่มีอันดับความน่าเชื่อถือสูงกว่า BBB และอายุไม่เกิน 2 ปี

ขณะที่ Perpetual Bonds ของบริษัทชั้นนำ ซึ่งให้ผลตอบแทน 3.00–4.00% ยังคงเป็นที่ต้องการสูง เมื่อเทียบกับตราสารหนี้ส่วนใหญ่ในตลาดที่ให้ Yield ต่ำกว่า 3.00%

ข้อมูล ณ สิ้นไตรมาส 2/2568 ตลาดตราสารหนี้ไทยมีมูลค่าคงค้างรวม 17.3 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.1% จากปีก่อน โดยเป็นการเติบโตของพันธบัตรภาครัฐ

ขณะที่ มูลค่าคงค้างของตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาวปรับลดลง (-19.3%) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็น Investment Grade ลดลง (-19.7%) และ High yield (-13.2%) ที่มีมูลค่าการออกลดลงมาอยู่ที่ 372,697 ล้านบาท และ 26,123 ล้านบาท ตามลำดับ

มูลค่าตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาวครบกำหนดช่วงครึ่งปีหลังนี้ 414,810 ล้านบาท โดยจะครบในช่วงไตรมาสสาม 194,385 ล้านบาท และ ในช่วงไตรมาสสุดท้าย 220,424 ล้านบาท

กลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังครองอันดับหนึ่งในห้าของมูลค่าคงค้างตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาวสูงสุด คือ กลุ่มพลังงาน (ENER) ตามด้วยกลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ (FIN) กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ (PROP) กลุ่มพาณิชย์ (COMM) และ กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) 5 กลุ่มนี้มียอดคงค้างประมาณเดิมอยู่ที่ 61% ของมูลค่ารวมทั้งตลาด

ถ้ามองในมุมของอันดับเครดิตแล้ว หุ้นกู้กลุ่มอันดับเครดิต A ยังคงมีมูลค่าคงค้างสูงสุด แต่ถ้ามองทุกอันดับเครดิตรวมกันกว่า 94% เป็นหุ้นกู้กลุ่ม Investment Grade (BBB-) ขึ้นไป

ดอกเบี้ยต่ำ-ยีลด์ต่ำ 

ตลาดคาดการณ์ว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย มีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 1.75% ลงมาอยู่ที่ 1.50% หรือต่ำกว่า เพราะศักยภาพที่มีเหลือเพื่อรองรับการปรับลงได้อีก โดยประเมินจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายเคยต่ำสุดที่ 0.5% ช่วงปี 2565

อีกทั้งตอนนี้อัตราดอกเบี้ยแท้จริง (real interest rate) อยู่ที่ +2.00% ประกอบกับค่าเงินบาทที่แข็ง เนื่องจากการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยปกติแล้วตลาดจะมีการเคลื่อนไหวเพื่อรองรับการคาดการณ์ล่วงหน้า สังเกตได้จากอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุไม่เกิน 15 ปี ที่ตอนนี้ลงมาต่ำกว่า 1.75%

ตลาดคาดว่าแบงก์ชาติจะปรับลดดอกเบี้ยลงอีกในการประชุม 1-2 ครั้ง ที่เหลือจากทั้งหมด 3 ครั้งในปีนี้ โดยมีความเป็นไปได้สูงที่จะปรับลงเป็นครั้งที่สองในการประชุม กนง. เดือนสิงหาคม โดยเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวลงมาเรื่อยๆ ซึ่งถ้านับจุดเริ่มต้น ณ สิ้นปี ที่แล้ว อัตราผลตอบแทนภาครัฐอายุไม่เกิน 1 ปี ปรับลง 53-54 bps มาอยู่ที่ประมาณ 1.43% ส่วนอายุมากกว่า 1 ปี ปรับลงไม่ต่ำกว่า 65 bps จาก ณ สิ้นปีที่ยังเห็นอัตราผลตอบแทน

สำหรับ อายุยาวเกิน 36 ปี ไม่ต่ำกว่า 3.00% มา ณ ตอนนี้ อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลที่อายุยาวที่สุด 46 ปี (LB726A) ยังลงมาต่ำกว่า 2.30%

มีโอกาสทำกำไร

กลยุทธ์การลงทุนที่แนะนำ สำหรับการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังนี้ คือ ซื้อตราสารหนี้ตัวอายุกลางๆ ไว้ทำกำไรระยะสั้น เพราะความเสี่ยงยังมี ทั้งจากภายในและภายนอก
-ภัยพิบัติทางธรรมชาติ
-หนี้เสีย
-ภาวะเศรษฐกิจที่โตต่ำ
-สงครามการค้าที่สหรัฐอเมริกาจะมาซ้ำเติมอีก จากการประกาศใช้มาตรการภาษีตอบโต้(Reciprocal Tariff) กับไทยในอัตรา36%

ปัจจัยข้างต้น จะกดดัน yield ในระดับต่ำลงไปได้อีกตามการคาดการณ์การปรับตัวลงของดอกเบี้ยนโยบายที่มีความเป็นไปได้ที่จะถูกปรับลงอีกอย่างน้อย 25 bps ไปอยู่ที่ต่ำกว่า 1.50%
อย่างไรก็ตาม ควรจะเตรียมพร้อมสำหรับกรณีตลาดพร้อมดีดตัวกลับเมื่อเห็นสัญญาณ bottom out ของภาวะดอกเบี้ย ซึ่งคงยังไม่เห็นในเร็ววันนี้ จึงแนะนำให้ selective buy ตามวัตถุประสงค์การลงทุน

1.เพื่อ trading ทำกำไรระยะสั้น แนะให้ซื้อตราสารหนี้ภาครัฐ
2 เพื่อ Buy and Hold สำหรับการถือยาว แนะให้ซื้อ Perpetual bonds หรือ หุ้นกู้ที่อันดับเครดิตไม่ต่ำกว่า BBB หรือหุ้นกู้ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวพันกับปัจจัยที่สำคัญในการดำรงชีวิต อย่างเช่น อาหารและเครื่องดื่ม (Food), การแพทย์(Helth), ธุรกิจการเกษตร (Agri) เป็นต้น

“แม้ตลาดตราสารหนี้จะดูซึมตัว แต่ก็ยังมีโอกาสทำกำไรได้จากการลงทุนอย่างมีชั้นเชิงและมีเป้าหมายที่ชัดเจน”น.ส.ลัพธ์พร กล่าว