HoonSmart.com>>ดาวโจนส์ปิดลบ 19 จุด S&P 500 ปิดเหนือ 6,300 จุดครั้งแรก และ Nasdaq ทำสถิติใหม่จากความเชื่อมั่นต่อผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ จับตาผลประกอบการ กลุ่ม Magnificent Seven ด้านตลาดหุ้นยุโรปลดลง คาดการเจรจาการค้ากับสหรัฐไม่ทัน 1 ส.ค. หวั่นโดนภาษี 30% ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงเล็กน้อย
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA) วันที่ 18 ก.ค. 2568 ปิดที่ 44,323.07 จุด ลดลง 19.12 จุด หรือ -0.04% ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดเหนือ 6,300 จุดเป็นครั้งแรก และ Nasdaq ทำสถิติใหม่จากความเชื่อมั่นต่อผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ แม้นักลงทุนจับตาความเสี่ยงที่ยังคงมีอยู่เกี่ยวกับมาตรการภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์
ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,305.60 จุด เพิ่มขึ้น 8.81จุด, +0.14%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 20,974.17 จุด เพิ่มขึ้น 78.52 จุด, +0.38%
ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ได้แรงหนุนจากการปรับขึ้นของหุ้นบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ เช่น Meta Platforms และ Amazon ก่อนการรายงานผลประกอบ โดย Alphabet บริษัทแม่ของGoogle และ Tesla เตรียมเผยแพร่ข้อมูลในวันพุธ ซึ่งเป็นรายงานแรกของกลุ่ม Magnificent Seven ที่จะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่สอง ผลประกอบการที่แข็งแกร่งอาจช่วยยืนยันมูลค่าที่ผันผวน ขณะที่ตลาดเกาะติดการเติบโตของ AI ที่กำลังเทียบกับภาวะฟองสบู่เทคโนโลยีครั้งประวัติศาสตร์อีกครั้ง
สัปดาห์นี้ฤดูกาลผลประกอบการคึกคัก โดยเริ่มจากผลประกอบการไตรมาสที่สองของ Verizon ที่ออกมาดีเกินคาด ราคาหุ้น Verizon พุ่งขึ้น 4% หลังจากผลประกอบการไตรมาสที่สองพุ่งสูงขึ้น ทำให้มีความคาดหวังว่ารายงานผลประกอบการอื่นๆ จะออกมาดี Verizon เป็นหนึ่งใน 62 บริษัทที่รายงานผลประกอบการในดัชนี S&P 500 แล้ว โดยในจำนวนนี้ มีมากกว่า 85% ที่รายงานผลประกอบการได้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ ตามข้อมูลของ FactSet ผลประกอบการในไตรมาสที่สองยังเติบโต 5% เมื่อเทียบกับปีก่อน หลังจากผลประกอบการในสัปดาห์แรก ตามข้อมูลจาก Bank of America
Alphabet โดดเด่นในการซื้อขาย โดยเพิ่มขึ้นมากกว่า 2% ก่อนการประกาศผลประกอบการรายไตรมาสในวันพุธหลังตลาดปิดทำการ รวมถึง Tesla ซึ่งเป็นบริษัทแรกในกลุ่ม Magnificent Sevenที่เตรียมรายงานผลประกอบการ อาจช่วยหนุนดัชนีหลักๆ ได้ หากดีกว่าการคาดการณ์ ราคาหุ้น Tesla ปิดตลาดปรับตัวลดลงเล็กน้อย
John Butters จาก FactSet คาดว่า รายได้ของกลุ่มMagnificent Sevenในไตรมาสที่สอง จะเติบโต 14% เทียบกับบริษัทอื่นๆ อีก 493 แห่งในดัชนี S&P 500 ที่คาดว่าจะมีการเติบโตเพียง 3.4% เท่านั้น
ความเชื่อมั่นต่อผลประกอบการในช่วงนี้เป็นปัจจัยหลักของตลาด แม้ทำเนียบขาวจะย้ำจุดยืนเรื่องภาษีศุลกากรในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาก็ตาม เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา นายฮาวเวิร์ด ลัทนิค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯบอกว่าวันที่ 1 สิงหาคมว่าเป็นเส้นตายที่ไม่อ่อนข้อ สำหรับประเทศต่างๆ ในการเริ่มชำระภาษีศุลกากร ถึงแม้จะกล่าวเสริมว่า ไม่มีอะไรหยุดยั้งประเทศต่างๆ ไม่ให้เจรจากับสหรัฐฯหลังจากวันที่ 1 สิงหาคม ก็ตาม
ส่วนสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับคุณภาพของข้อตกลงการค้ามากกว่าเพียงเพื่อได้ทำข้อตกลง
นอกจากนี้มีรายงานว่าประธานาธิบดีทรัมป์กำลังผลักดันให้มีการกำหนดภาษีศุลกากรแบบครอบคลุมที่สูงขึ้นสำหรับการนำเข้าจากสหภาพยุโรป ส่งผลให้การเจรจาหยุดชะงักก่อนกำหนดเส้นตายในวันที่ 1 ส.ค.ที่จะนี้
สหภาพยุโรปเองกำลังเตรียมการตอบโต้ หากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ได้ ท่าทีที่แข็งกร้าวมากขึ้นของทรัมป์ และการคัดค้านของสมาชิกสหภาพยุโรปต่อข้อตกลงต่างๆ กำลังบั่นทอนความหวังในการบรรลุข้อตกลง
ในขณะเดียวกัน บราซิลก็มองว่าความเป็นไปได้ที่ข้อตกลงการค้าจะไม่สามารถบรรลุได้ในเวลานั้นมีมากขึ้น
ตลาดหุ้นยุโรปปิดตลาดลบท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวนต่อเนื่อง ขณะที่นักลงทุนย่อยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่หลากหลาย และรอผลการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป
ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดลดลง จากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ เช่น Roche และ Novonordisk ที่หักล้างการปรับขึ้นของบริษัทเหมืองแร่
นักลงทุนกำลังเตรียมตัวสำหรับสัปดาห์ที่เต็มไปด้วยรายงานความคืบหน้าของบริษัทต่างๆ ทั้งในยุโรปและสหรัฐฯ และจะประเมินรายงานของบริษัทต่างๆ อย่างละเอียดเพื่อหาสัญญานผลกระทบของความไม่แน่นอนทางการค้าที่มีต่อผลกำไรและความต้องการของผู้บริโภค
ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 546.58 จุด ลดลง 0.42 จุด, -0.08%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,012.99 จุด เพิ่มขึ้น 20.87 จุด, +0.23%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,798.22 จุด ลดลง 24.45 จุด, -0.31%,
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,307.8 จุด เพิ่มขึ้น 18.29 จุด, +0.08%
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ Glencore, Anglo American และ Antofagasta เพิ่มขึ้นระหว่าง 3% ถึง 5% ตามราคาโลหะอุตสาหกรรมที่ปรับตัวสูงขึ้นหลังจากที่จีนให้คำมั่นว่าจะรักษาเสถียรภาพการเติบโตทางอุตสาหกรรม และจากความหวังที่จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม
บริษัท Stellantis บริษัทรถยนต์คาดการณ์ว่าจะขาดทุนสุทธิ 2.3 พันล้านยูโร (2.68 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 เนื่องจากต้องเผชิญกับความท้าทายสองประการ คือ การยกเครื่องกลุ่มผลิตภัณฑ์ ควบคู่ไปกับการรับมือกับผลกระทบจากภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ราคาหุ้นผันผวนตลอดทั้งวัน และปิดตลาดเพิ่มขึ้นประมาณ 1.5%
หุ้น Ryanair พุ่งขึ้น 5.7% หลังจากสายการบินต้นทุนต่ำรายใหญ่ที่สุดของยุโรปรายงานกำไรรายไตรมาสเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่า หุ้นสายการบินอื่นๆ เช่น Lufthansa และ EasyJet ต่างเพิ่มขึ้นประมาณ 1%
ขณะเดียวกัน นักลงทุนจับตาการเจรจาการค้า เนื่องจากนักการทูตกล่าวว่าสหภาพยุโรปกำลังพิจารณาใช้มาตรการ new anti-coercion ที่ครอบคลุมในวงกว้าง ซึ่งจะเปิดโอกาสให้สหภาพยุโรปสามารถกำหนดเป้าหมายบริการของสหรัฐฯ หรือจำกัดการเข้าถึงการประมูลภาครัฐหากไม่มีข้อตกลง
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ขู่ว่าจะเก็บภาษีนำเข้าจากยุโรป 30% หากไม่มีการลงนามข้อตกลงก่อนกำหนดเส้นตายวันที่ 1 ส.ค.นี้
ตลาดยังจับตาการตัดสินใจด้านนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหภาพยุโรป( ECB) ในปลายสัปดาห์นี้ โดยนักลงทุนคาดการณ์ว่าจะคงอัตราดอกเบี้ย
ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนส.ค. ลดลง 14 เซนต์ หรือ 0.21% ปิดที่ 67.20 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนก.ย.ลดลง 7 เซนต์ หรือ 0.1% ปิดที่ 69.21 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
———————————————————————————————————————————————————–

