แบงก์โชว์กำไรดี Q2/68 ได้พอร์ตช่วย SCB แชมป์โกย 12,786 ล้านบ.ลดสำรอง

HoonSmart.com>>7 ธนาคารพาณิชย์ประกาศผลงานไตรมาสที่ 2/2568 ภาพรวมกำไรสุทธิดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากไตรมาสแรก แม้ว่ารายได้ดอกเบี้ยสุทธิจะลดลงตามสถานการณ์ดอกเบี้ยขาลง แต่ธนาคารหลายแห่งกลับมีรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยดีขึ้น จากการบริหารพอร์ต เช่น บริษัท เอสซีบี เอกซ์ (SCB) และธนาคารกรุงเทพ (BBL) และธนาคารกสิกรไทย (KBANK) นักวิเคราะห์และผู้บริหารธนาคารต่างคาดแนวโน้มกำไรครึ่งปีหลังจะลดลงกว่าในช่วง 6 เดือนแรกปีนี้

บริษัท เอสซีบี เอกซ์ เป็นแชมป์มีกำไรสุทธิสูงที่สุดจำนวน 12,786 ล้านบาทในไตรมาสที่ 2  ตามด้วยธนาคารกสิกรไทย (KBANK) มีกำไรสุทธิ 12,488 ล้านบาท และธนาคารกรุงเทพ มีกำไรสุทธิ 11,840 ล้านบาท

โดยรวมครึ่งปีนี้ ธนาคารกสิกรไทยมีกำไรสุทธิสูงที่สุด 26,280 ล้านบาท แต่ลดลง 0.98%จากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) ตามด้วย SCB มีกำไรสุทธิ 25,288 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.7% และธนาคารกรุงเทพ มีกำไรสุทธิ 24,458 ล้านบาท เติบโต 9.5%

สาเหตุที่ SCB มีกำไรสุทธิมากที่สุดในไตรมาสที่ 2/2568 พุ่งขึ้นถึง 27.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโต 2.3% จากไตรมาสแรกปีนี้ (QoQ) มาจากรายได้จากการลงทุนและการค้ามีจำนวน 3,239 ล้านบาท จากกำไรของพอร์ตการลงทุนของธนาคาร และของบริษัท เอสซีบี เท็นเอกซ์

นอกจากนี้ SCB ยังมีการตั้งสำรองจำนวน 10,112 ล้านบาท ลดลง 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน การควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
ขณะที่มีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ 30,404 ล้านบาท ลดลง 6.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการลดลงของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ และยอดสินเชื่อโดยรวมที่ลดลง 1.8% ภายใต้การปล่อยสินเชื่ออย่างระมัดระวัง รายได้ค่าธรรมเนียมและอื่น ๆ มีจำนวน 10,008 ล้านบาท ลดลง 3.1% จากปีก่อน

ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานมีจำนวน 17,530 ล้านบาท ลดลง 5.6% จากปีก่อน จากการควบคุมค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพ โดยบริษัทฯ มีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ลดลงมาอยู่ที่ 40.2%

SCB ตั้งสำรองไตรมาสที่ 2 ลดลง 13 % จากปีก่อน และครึ่งปีตั้งสำรองจำนวน 19,682 ล้านบาทลดลง 9.8% เนื่องจากคุณภาพสินทรัพย์อยู่ในระดับที่ควบคุมได้ โดยเฉพาะการปรับตัวดีขึ้นของบริษัท คาร์ด เอกซ์ ทั้งนี้ ได้รวมสำรองพิเศษเพื่อรองรับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในอนาคต อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) คงอยู่ในระดับสูงที่ 159%

ท่ามกลางความผันผวนของสถานการณ์ภายนอก บริษัทฯ ยังสามารถควบคุมคุณภาพของสินเชื่อโดยรวมได้ดี โดยอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ สิ้นไตรมาสที่ 2/2568 อยู่ที่ 3.31% ลดลงจาก 3.34% ในปีก่อน เงินกองทุนตามกฎหมายอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 18.8%

นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ กล่าวว่า ภายใต้เศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนและปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยืดเยื้อ กลุ่มเอสซีบีเอกซ์ให้ความสำคัญกับการช่วยประคับประคองลูกหนี้ทุกกลุ่ม ผ่านมาตรการที่หลากหลายและต่อเนื่อง ในส่วนมาตรการ “คุณสู้ เราช่วย” ระยะที่ 1 มีลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการแล้วเป็นยอดหนี้รวมกว่า  5 หมื่นล้านบาท และพร้อมให้ความช่วยเหลือลูกหนี้เพิ่มเติมในมาตรการระยะที่ 2 เพื่อให้ครอบคลุมมากขึ้น และเปิดโอกาสให้ลูกหนี้กลุ่มเปราะบางมีโอกาสฟื้นตัวได้
ผลป

“กำไรในไตรมาสที่ 2/2568 ยังคงแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง จากการบริหารจัดการให้เกิดแหล่งที่มาของรายได้ที่หลากหลาย การควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และการบริหารคุณภาพสินทรัพย์ที่รอบคอบ ส่งผลให้การก่อตัวของสินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ในระดับที่ควบคุมได้” นายอาทิตย์กล่าว

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้รับความเห็นชอบให้จัดตั้งธนาคารพาณิชย์ไร้สาขาอย่างเป็นทางการ และขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการเตรียมการจัดตั้ง บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าธนาคารพาณิชย์ไร้สาขาจะช่วยเพิ่มการเข้าถึงบริการทางการเงินผ่านช่องทางดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบและสร้างการเติบโตให้กับบริษัทฯ ในระยะยาว

ทางด้านน.ส.ขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย  กล่าวว่า ธนาคารมีกำไรสุทธิ 12,488 ล้านบาทในไตรมาสที่ 2/2568 ลดลง 9.45%จากไตรมาสแรก หลัก ๆ จากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ลดลงตามภาวะตลาด รวมทั้งการดูแลช่วยเหลือด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อช่วยเหลือแบ่งเบาภาระให้ลูกค้ามีความยืดหยุ่นทางการเงินมากขึ้นและช่วยเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ

สำหรับอัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ ( NIM) ลดลงอยู่ที่ระดับ 3.31% แม้ว่ารายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยมีจำนวน 13,944 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 266 ล้านบาท หรือ 1.95%   หลัก ๆ จากผลการดำเนินงานการบริการประกันภัย และรายได้จากการลงทุน สำหรับค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ มีจำนวน 20,803 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 751 ล้านบาท หรือ 3.75% จากไตรมาสก่อน ส่วนใหญ่จากค่าใช้จ่ายด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อสนับสนุนการขยายช่องทางการให้บริการลูกค้าและค่าใช้จ่ายทางการตลาด

แนวโน้มในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 น.ส.ขัตติยามองว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตในระดับต่ำกว่าครึ่งแรกของปีค่อนข้างมาก หรือมีความเสี่ยงที่จะไม่เติบโต เนื่องจากการส่งออกมีแนวโน้มหดตัวลึกหลังจากขยายตัวสูงไปแล้วในช่วงครึ่งปีแรก ประกอบกับอัตราภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ที่จะเก็บจากสินค้าไทยอาจสูงกว่าคู่แข่งสำคัญหลายประเทศ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อเนื่องต่อบรรยากาศการลงทุน

ในขณะที่แรงหนุนจากภาคการท่องเที่ยวมีแนวโน้มชะลอลงแรง แต่เม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐทำได้เพียงในระดับจำกัด

นอกจากนี้ ปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวจะมีผลกดดันต่อเนื่องต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2569 ด้วยเช่นกัน

ท่ามกลางความท้าทายของปัจจัยทางเศรษฐกิจทั้งในและนอกประเทศที่มีความเสี่ยงสูง รวมทั้งความกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ธนาคารกสิกรไทยและบริษัทย่อยยังคงดำเนินธุรกิจด้วยความรอบคอบ โดยมุ่งเน้นการสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย ซึ่งรวมถึงความรับผิดชอบต่อลูกค้าผู้ฝากเงิน ผู้ลงทุน ที่ครอบคลุมถึงลูกค้าบุคคลและลูกค้าธุรกิจด้วยการดูแลช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ อย่างเหมาะสมทั้งการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม ตลอดจนการสนับสนุนมาตรการภาครัฐอย่างเต็มที่ เช่น โครงการคุณสู้เราช่วย และมาตรการให้ความช่วยเหลือต่าง ๆ

รวมทั้งการส่งผ่านต้นทุนทางการเงินที่ลดลงเพื่อแบ่งเบาภาระของลูกค้า สนับสนุนให้ลูกค้าสามารถดำเนินชีวิต และธุรกิจต่อไปได้อย่างยั่งยืน ตลอดจนการส่งมอบผลตอบแทนที่มั่นคงให้แก่ผู้ถือหุ้น ผ่านการเดินหน้าตามยุทธศาสตร์ 3+1 และการจัดการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน (Productivity) อย่างต่อเนื่องภายใต้บริบทของเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูง

บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล(ประเทศไทย) (CGSI) วิเคราะห์ BBL มีกำไรสุทธิ 11,840 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 0.3% YoY แต่ลดลง 6.2% QoQ ซึ่งสูงกว่าประมาณการของฝ่ายวิเคราะห์ 6% และสูงกว่า Bloomberg consensus 7% มีกำไรจากเงินลงทุนสูงกว่าคาด การลงทุนในตราสารหนี้ รวมทั้งมีค่าใช้จ่ายพนักงานและค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยลดลง QoQ รวมครึ่งปี กำไรทั้งสิ้น 2.45 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.5% หรือคิดเป็น 57% ของประมาณการปี 2568 ถือว่าสอดคล้องกับประมาณการของฝ่ายวิเคราะห์ฯ  คาดว่ากำไรสุทธิในครึ่งปีหลัง น่าจะลดลงจากครึ่งปีแรก จากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงและสินเชื่อที่เติบโตชะลอตัว

“ปัจจัยหนุนผลประกอบการ BBL ในไตรมาส 2/68 คือกำไรจากเงินลงทุนและการควบคุมค่าใช้จ่าย แม้อัตราการสำรองหนี้สูญจะสูงกว่าที่คาด และคาดว่าธนาคารน่าจะมีกำไรอ่อนตัวในครึ่งปีหลัง  จากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย”บล. CGSI ระบุ

ด้านการซื้อขายหุ้น SCB  ดีดตัวขึ้นในช่วงบ่าย รับกำไรสุทธิไตรมาสที่ 2/2568  ดีกว่าคาดการณ์ ทำให้ราคาปิดที่ 121 บาท บวก 2 บาท หรือปรับตัวขึ้น 1.68%

 
 
 
 
 
———————————————————————————————————————————————————–