ดาวโจนส์ดิ่งฉุดหุ้นโลกร่วงยกแผง ‘ทิสโก้’นำเสนอ ดีเฟนซีพ-เฮลธ์แคร์

ตลาดหุ้นโลกกลับตาลปัตร ดาวโจนส์นำขบวนดิ่งเฉียด 800 จุดหรือ 3% เศษ เศรษฐกิจสหรัฐออกอาการถดถอย ลากหุ้นยุโรป-เอเชียร่วงตามยกแผง หุ้นไทยหยุด เปิดวันที่ 6 ธ.ค. คงหนีไม่พ้นทรุดตาม พลิกจากวันก่อนเพิ่งพุ่งไป 30 จุด “ทิสโก้” คาดปี 62 หุ้นผันผวนสูง แนะกลยุทธ์โฟกัส กลุ่มตั้งรับ ( ดีเฟนซีพ) กลุ่ม โกลบอล เฮลธ์ แคร์ หลบภัย

วันที่ 4 ธ.ค.2561 ที่ผ่านมา ดัชนีดาวโจนส์ ปิดที่ 25,027.07 จุด ร่วงแรง 799.36 จุด หรือ 3.10% ตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐส่งสัญญาณเศรษฐกิจถดถอยเมื่ออัตราผลตอบแทนเข้าสู่ภาวะพลิกกลับ อายุ 3 ปีกลับสูงกว่าอายุ 5 ปี ส่งผลกระทบต่อหุ้นกลุ่มธนาคาร และนักลงทุนยังวิตกต่อความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน ฉุดให้หุ้นยุโรปปิดลบด้วยแรงขายในหุ้นกลุ่มยานยนต์ ซึ่งอ่อนไหวต่อสงครามการค้า ส่วนตลาดหุ้นเอเชียวันที่ 5 ธ.ค.ปรับตัวถ้วนหน้า แต่ไม่รุนแรง ฮ่องกงมากที่สุด 1.62% ส่วนตลาดุ้นไทยปิดทำการ คาดว่าเปิดซื้อขายวันที่ 6 ธ.ค. ดัชนีตลาดหลักทรัพย์คงปรับตัวลงตามต่างประเทศ ด้านราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) เปิดเผยว่า ปี 2562 จะเป็นปีที่ตลาดผันผวนไม่น้อยไปกว่าปีนี้ และการลงทุนยังคงต้องเป็นไปอย่างระมัดระวัง โดยแนะนำกลยุทธ์ให้เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มตั้งรับ (ดีเฟนซีพ ) ซึ่งมีการเติบโตของกำไรสม่ำเสมอไม่ว่าจะอยู่ในช่วงไหนของวัฏจักรเศรษฐกิจ และเลือกหุ้นในกลุ่ม โกลบอล เฮลธ์ แคร์

หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ประเมินว่า เศรษฐกิจโลกจะมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากปัจจัยต่างๆ ที่เข้ามากระทบ เช่น สงครามการค้าที่จะกระทบเต็มปี แรงหนุนจากการใช้จ่ายภาครัฐฯ ของรัฐบาลสหรัฐฯ เริ่มแผ่วลง และยังมีแรงกดดันจากการขึ้นภาษีการบริโภคของญี่ปุ่น ในขณะเดียวกันภาครัฐและธนาคารกลางต่างมีข้อจำกัดในการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่มองว่าปัจจัยทางเศรษฐกิจ จะส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวลงอย่างจำกัด เพราะในปี 2561 ตลาดหุ้นได้ปรับฐานรุนแรงถึง 2 ครั้ง และราคาหุ้นเริ่มกลับมาอยู่ในระดับใกล้เคียงและต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต

แนวโน้มในระยะสั้นโอกาสที่ตลาดหุ้นทั่วโลกจะปรับลดลงค่อนข้างจำกัด เพราะในปีนี้มีการปรับฐานรุนแรงไปถึง 2 ครั้งแล้ว ในช่วงเดือน ก.พ. และ ต.ค. เนื่องจากได้รับผลกระทบจากอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ (Bond Yield) ที่ปรับตัวขึ้นแรง และความกังวลต่อผลกระทบของสงครามการค้า โดยหากนับจากจุดสูงสุดเมื่อต้นปี 2561 ตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว เช่น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และยุโรป ปรับฐานไปกว่า 10-15% ขณะที่ตลาดหุ้นกำลังพัฒนาปรับฐานรุนแรงกว่า 15-30% นำโดยตลาดหุ้นจีน และเกาหลี ซึ่งการปรับฐานในรอบนี้นับเป็นการลดลงในอัตราที่ใกล้เคียงกับการปรับฐานของตลาดในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ระดับราคา (Valuation) ของตลาดหุ้นทั่วโลกซึ่งเคยอยู่ในระดับสูงในช่วงต้นปี 2561 ลดลงมาอยู่ที่ระดับใกล้เคียงค่าเฉลี่ยระยะยาว 10 ปี สำหรับตลาดหุ้นสหรัฐฯ และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว สำหรับตลาดหุ้นกำลังพัฒนา

นอกจากนี้ TISCO ESU ยังมองว่า ในระยะสั้นตลาดหุ้นมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น ภายหลังจากผู้นำสหรัฐฯ และจีนได้เจรจากันในการประชุม G20 ทำให้ปัจจัยเสี่ยงจากสงครามการค้าโลกลดลง และราคาน้ำมันที่คาดว่าจะฟื้นตัวขึ้นหลังการประชุมโอเปก ในวันที่ 6 ธ.ค. ซึ่งคาดว่าโอเปกจะตัดสินใจลดปริมาณการผลิตน้ำมันดิบลงอย่างน้อย 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน และประเด็นสุดท้ายคือค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่เริ่มพลิกกลับมาอ่อนค่าหลังประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ออกมาให้ความเห็นว่าดอกเบี้ยในสหรัฐฯ เริ่มขยับเข้าใกล้ระดับปกติ (Neutral Rate) ซึ่งชี้ว่า เฟดอาจชะลอการขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้า

สำหรับตลาดหุ้นไทยมีปัจจัยบวกจากเม็ดเงินกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) เริ่มเข้ามาประคองตลาด ประกอบกับการมีผลบังคับใช้ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ.2561 ในช่วงต้นเดือน ธ.ค. ซึ่งจะทำให้กำหนดการเลือกตั้งมีความชัดเจนขึ้น

อ่านประกอบ

หุ้นเอเชียปิดร่วง-ฮ่องกงลบ 440 จุด กว่า 1.62%