HoonSmart.com>>ธนาคารกรุงเทพ (BBL)ชูกำไรสุทธิไตรมาส 2/68 จำนวน 11,839.87 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.03% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่ลดลง 6.2%จากไตรมาสแรก จากการตั้งสำรองหนี้ 10,740 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.5%จากไตรมาสก่อน คุมค่าใช้จ่ายลดลง รวมครึ่งปีมีกำไร 24,458 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.5% รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยโต 41.9% เป็น 26,460 ล้านบาท สะท้อนถึงความสามารถบริหารสินทรัพย์ สินเชื่อโตเพียง 0.8% ตั้งสำรอง 19,807 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.2%
ธนาคารกรุงเทพ (BBL) รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาสที่ 2/2568 มีกำไรสุทธิ 11,839.87 ล้านบาท คิดเป็นกำไรหุ้นละ 6.20 บาท เพิ่มขึ้น 0.3%จากระยะเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 11,806.83 ล้านบาทหรือ 6.19 บาทต่อหุ้น แต่ลดลง 6.2% จากไตรมาสแรกปีนี้ที่มีกำไรสุทธิ 12,618 ล้านบาท โดยมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิอยู่ในระดับใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน ส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิลดลงจากค่าธรรมเนียมการอำนวยสินเชื่อ และค่าธรรมเนียมบริการประกันผ่านธนาคารและบริการกองทุนรวมซึ่งเป็นไปตามฤดูกาล ขณะที่ธนาคารยังคงมีการบริหารค่าใช้จ่ายอย่างเหมาะสม ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานลดลง
ทั้งนี้ธนาคารพิจารณาตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตามหลักความระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจำนวน 10,740 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.5%จากไตรมาสก่อนที่จำนวน 9,067 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 10,426 ล้านบาท
ส่วนผลงานรวมครึ่งปีนี้มีกำไรทั้งสิ้น 24,457.65 ล้านบาท กำไรหุ้นละ 12.81 บาท เพิ่มขึ้น 9.5% จากระยะเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 22,330.48 ล้านบาท หรือกำไรหุ้นละ 11.70 บาท มาจากรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยจำนวน 26,460 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 41.9% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่จำนวน 18,650 ล้านบาท
กำไรที่ดีขึ้นมาจากเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2/2568 ปรับตัวดีขึ้น โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการเร่งคำสั่งซื้อ (Front-loading orders) ของประเทศคู่ค้าในหมวดสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรและอุปกรณ์ และยานยนต์ ก่อนที่มาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐอเมริกาจะมีผลบังคับใช้ในช่วงครึ่งหลังของปี สะท้อนความพยายามของภาคธุรกิจในการลดผลกระทบจากต้นทุนทางภาษีที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในอนาคต
อย่างไรก็ตาม แรงส่งดังกล่าวมีลักษณะชั่วคราว และยังไม่สะท้อนถึงการฟื้นตัวของอุปสงค์ในระดับโลกอย่างแท้จริง ขณะที่ภาคบริการซึ่งเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ยังคงเผชิญแรงกดดันจากการลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยวจีน แม้ว่านักท่องเที่ยวจากกลุ่มประเทศอื่น อาทิ รัสเซีย อินเดีย และอาเซียน จะเพิ่มขึ้นและช่วยพยุงรายได้ภาคการท่องเที่ยวในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะผลักดันการฟื้นตัวอย่างชัดเจนของภาคบริการโดยรวม
ทางด้านเสถียรภาพราคา อัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังคงอยู่ในระดับต่ำ แม้จะสะท้อนแรงกดดันด้านต้นทุนที่จำกัด แต่ขณะเดียวกันก็สะท้อนถึงความเปราะบางของอุปสงค์ภายในประเทศ โดยเฉพาะการบริโภคของภาคครัวเรือน ซึ่งยังถูกกดดันจากภาระหนี้ที่อยู่ในระดับสูง ประกอบกับความไม่แน่นอนเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจในประเทศซึ่งยังคงส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและการใช้จ่ายภาคเอกชน
ท่ามกลางบริบทของความท้าทายที่เพิ่มขึ้นในการดำเนินธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบจากนโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก การปรับเปลี่ยนนโยบายและกฎเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อมจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้น อีกทั้งความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ผลักดันให้ธุรกิจต้องปรับตัวเพื่อก้าวทันต่อโลกยุคดิจิทัล ธนาคารกรุงเทพพร้อมยืนเคียงข้างลูกค้าในฐานะ “เพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน” และมุ่งมั่นให้คำปรึกษาและดูแลลูกค้าแต่ละกลุ่มอย่างเหมาะสม ทั้งด้านเงินทุนและองค์ความรู้ที่เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลง รวมถึงสนับสนุนธุรกิจให้ได้ประโยชน์จากโอกาสในการขยายกิจการไปต่างประเทศผ่านการดำเนินกลยุทธ์ Regionalization ตลอดจนส่งเสริมนโยบายของภาครัฐในการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนของเศรษฐกิจไทย เช่น สนับสนุนโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” เพื่อบรรเทาภาระหนี้ของลูกหนี้ให้สามารถฟื้นตัวได้ในระยะยาว
ในขณะเดียวกันธนาคารยังคงดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวัง พร้อมยึดมั่นแนวทางการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible lending) และมุ่งมั่นให้บริการทางการเงินที่รับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และการเติบโตอย่างยั่งยืน
สำหรับกำไรสุทธิงวดครึ่งปีนี้จำนวน 24,458 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.5% จากงวดแรกปีก่อน สะท้อนถึงความสามารถในการบริหารสินทรัพย์ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจหลายด้าน ธนาคารมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิจำนวน 63,614 ล้านบาท และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ 2.85% ซึ่งเป็นไปตามทิศทางอัตราดอกเบี้ย
ส่วนรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากกำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน และกำไรจากเงินลงทุน ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิลดลงส่วนใหญ่จากการบริการธุรกรรมผ่านธนาคาร สุทธิกับรายได้จากบริการการค้าระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ธนาคารมีการพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการให้ความสำคัญกับการบริหารค่าใช้จ่าย ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินงานอยู่ในระดับที่ 45.3% สำหรับผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในงวดแรกปี 2568 มีจำนวน 19,807 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.2% กับงวดแรกปีก่อนที่ 19,007 ล้านบาท
ธนาคารกรุงเทพยังคงแนวทางการดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวังและรอบคอบ พร้อมทั้งรักษาเสถียรภาพฐานะการเงิน สภาพคล่อง และเงินกองทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ณ สิ้นเดือนมิ.ย. 2568 ธนาคารมีเงินให้สินเชื่อจำนวน 2,712,930 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.7% จากสิ้นปีก่อน ส่วนใหญ่จากสินเชื่อลูกค้าธุรกิจรายใหญ่ สำหรับอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อรวมอยู่ที่ 3.2% ซึ่งอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ โดยมีอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 283.6% เป็นผลจากการที่ธนาคารยึดหลักการตั้งสำรองด้วยความระมัดระวังและรอบคอบอย่างต่อเนื่อง
ส่วนเงินรับฝาก ณ สิ้นเดือนมิ.ย. 2568 จำนวน 3,195,939 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.8%จากสิ้นปีก่อน และมีอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินรับฝากอยู่ที่ 84.9% ขณะที่อัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้น อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารและบริษัทย่อยอยู่ที่22.0% 17.5% และ 16.7% ตามลำดับ ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่าอัตราส่วนเงินกองทุนขั้นต่ำตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ด้านราคาหุ้น BBL ปิดที่ 144.50 บาท บวก 1 บาทหรือ +0.70% ณ วันที่ 17 ก.ค.2568
