DELTA ปลุกตลาดพุ่งปรี๊ด ! 40.48 จุด ตปท.-กองทุน ลุยหุ้น -วอลุ่มดีด 6.3 หมื่นลบ.

HoonSmart.com>>ตลาดหุ้นพุ่งปรี๊ด! 40.48 จุด  มูลค่าซื้อขายบวม  63,374 ล้านบาท   DELTA ปลุกตลาด ตัวเดียวดันดัชนีฯ 18 จุด  คาดหวังผลเจรจาการค้าสหรัฐฯ-ไทย กอบศักดิ์” ห่วงภาษี 36% ไทยหมดเสน่ห์ลงทุน เทียบอินโดนีเซีย-เวียดนาม อุตสาหกรรม S-Curve ไม่มีโอกาสที่จะเกิดขึ้น

ตลาดหลักทรัพย์วันที่ 17 ก.ค.68  ปรับตัวขึ้นแรงตั้งแต่เปิดตลาด ขึ้นไปแตะสูงสุด 1,199.14 จุด ก่อนย่อเล็กน้อยปิดที่  1,198.11 จุด เพิ่มขึ้น 40.48 จุด หรือ 3.50% มูลค่าซื้อขาย 63,374.58 ล้านบาท

ต่างชาติซื้อสุทธิ + 2,494.87 ล้านบาท , กองทุนซื้อ +1,073.60 ล้านบาท ,  บัญชีหลักทรัพย์ ซื้อ  +875.24 บาท และรายย่อยขาย –  4,443.72 ล้านบาท

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล, CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นวันนี้ปรับตัวขึ้นได้ดีกว่าที่คาดไว้ และดีกว่าตลาดหุ้นเอเชียที่บวกราว 0.3-0.4% โดยมีหุ้น DELTA ปลุกตลาด ซึ่งมีผลต่อดัชนีฯ 18 จุด ขณะที่ AOT ปรับขึ้นดีอย่างต่อเนื่อง ทั้งสองตัวขึ้นนำหุ้นบิ๊กแคปที่ขึ้นมาหนุนตลาด ซึ่งอาจเป็นผลจากที่คนต่างมีมุมมองพร้อมกันถึงแนวโน้มตลาดเป็นขาขึ้น จึงกลัวตกรถ เลยเข้ามาไล่ซื้อ และหุ้นก็อยู่ในโซน Valuation ที่น่าสนใจด้วย

นอกจากนี้ ตลาดยังมีความคาดหวังเชิงบวกต่อการเจรจาการค้าสหรัฐฯ-ไทย ขณะที่ปัจจัยการเมืองในประเทศยังไม่มีพัฒนาการเชิงลบ อย่างไรก็ดี ดัชนีตลาดมีแนวต้านจิตวิทยาที่ 1,200 จุด หากขึ้นมาชนก็อาจจะพักตัวได้  เผชิญแรงขายของกองทุน LTF ที่ยังมีเหลืออีกมาก ซึ่งยังไม่ได้เปลี่ยนไปกองทุน TESGX ที่ผ่านมามี LTF เปลี่ยนไป ราว 3 หมื่นล้านบาท แต่หากดัชนี SETทะลุ 1,200 จุดได้ จะมีแนวต้านถัดไปที่ 1,220-1,230 จุด ส่วนแนวรับให้ไว้ที่ 1,180 จุด

พร้อมให้ติดตามดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐฯ วันที่ 18 ก.ค. และสัปดาห์หน้า ติดตามการประชุมธนาคารกลายุโรป (ECB)  วันที่ 24 ก.ค.นี้

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ ให้ความเห็นว่า ไทยต้องเจรจาต่อกับสหรัฐฯเพื่อให้ได้ภาษีต่ำลงจาก 36%  มิเช่นนั้นการส่งออกของไทยไปสหรัฐที่มีสัดส่วนประมาณ 20% ของการส่งออกทั้งหมดจะได้รับผลกระทบ หายไปหมดและการส่งออกโดยรวมที่มีสัดส่วน 60% ของเศรษฐกิจก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยจะส่งผลต่อเนื่องไปยังภาคการผลิต การลงทุน

ทั้งนี้อัตราภาษี 36% จะมีผลบังคับใช้ก็จะมีผลไปตลอด ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยเมื่อเทียบกับเวียดนามที่ได้ข้อตกลงภาษีในอัตรา 20% และอินโดนีเซียที่ได้อัตราภาษี 19% มีความน่าสนใจในฐานจุดหมายปลายทางการลงทุนมากกว่า ดังนั้นในระยะยาวการลงทุนรูปแบบใหม่เช่น การลงทุนในอุตสาหกรรม S-Curve ก็ไม่มีโอกาสที่จะเกิดขึ้น ก็จะส่งผลกระทบต่อประเทศในระยะยาว

” หากไทยได้ภาษีในอัตรา 25%ไม่ต่างจากเวียดนาม อินโดนีเซียมากนัก แลกกับข้อเสนอเปิดให้สหรัฐส่งสินค้าเกษตรเข้ามาภาษี 0% การชดเชยผลกระทบจะทำได้ง่ายกว่าและใช้เงินน้อยกว่าการชดเชยให้ภาคส่งออก เนื่องจากภาคเกษตรมีขนาดไม่ใหญ่นัก โดยคาดว่าต้องใช้เงินชดเชยประมาณ 1 แสนล้านบาท และสามารถจัดการผลกระทบได้ง่ายกว่า ขณะที่การชดเชยการส่งออกคาดว่าไม่น่าจะต่ำกว่า 5 แสนล้านบาท”นายกอบศักดิ์ กล่าว