FETCO แนะรับแรงสะเทือน 5 ด้าน สงครามสหรัฐ-จีน จ่อถล่มศก.เอเชีย—เร่งจบภาษีก่อน 1 ส.ค.

HoonSmart.com>>สภาธุรกิจตลาดทุนไทย ชี้ไทยกำลังเผชิญความเสี่ยงจากการตอบโต้จีนของสหรัฐฯ ทั้ง 5 ด้าน—ตั้งแต่เทคโนโลยีถึงการทหาร พร้อมแนะ 3 ทางเลือกภาษี หวังรักษาความสามารถแข่งขันและเสถียรภาพของตลาดทุน เร่งเปลี่ยนผ่าน 4 โครงสร้างเศรษฐกิจ

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) ในงานสัมมนา Investment Forum 2025 “จัดทัพลงทุนฝ่าคลื่นความเปลี่ยนแปลง” หัวข้อ “เศรษฐกิจไทยภายใต้คลื่นความเปลี่ยนแปลง”ว่า ประเทศไทยจะเผชิญแรงสะเทือนทางเศรษฐกิจจากข้อพิพาทระหว่างมหาอำนาจโลก เมื่อสหรัฐอเมริกาเตรียมตอบโต้จีนด้วย “5 Wars”ตั้งแต่สงครามการค้า เทคโนโลยี ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การเงิน และการทหาร โดยจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในฐานะที่อยู่ในสมรภูมิภูมิรัฐศาสตร์นี้

การเก็บภาษีนำเข้าสินค้ารอบแรกจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก และจากไทยที่สหรัฐเก็บ 36% ส่งผลกระทบต่อตลาดทุนโลก และตลาดทุนไทยในระยะสั้น และกระทบไม่มาก เพราะการมีเวลาให้เตรียมตัว 90 วันทำให้บริษัทต่างๆ เตรียมตัวรับมือ และตลาดทุนรับรู้ข่าวไปแล้วในระดับหนึ่ง แต่ความเสี่ยงจะขยายตัวสู่ภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ที่มีความเปราะบาง

นายกอบศักดิ์ ระบุว่า ในด้านภาษีการค้าไทยมี 3 ทางเลือก 1.ยอมรับอัตราภาษีรวม 46% (สหรัฐฯ 36% + BRICS 10%) 2.เจรจาเปิดตลาดแบบมีเงื่อนไขที่สหรัฐยอมรับ 3.เปิดตลาดเสรีเต็มรูปแบบตามแนวทางของเวียดนาม
ทั้งนี้ ไทยต้องหาข้อสรุปภายในวันที่ 1 สิงหาคม 2568 เพื่อรักษาระดับภาษีให้อยู่ในจุดที่สามารถแข่งขันได้ โดยจุดที่เหมาะสมมองว่าอยู่ที่ 25% พร้อมเสนอเปิดตลาดบางกลุ่มอุตสาหกรรมที่สามารถรักษาสมดุลการส่งออก เช่น ภาคการเกษตร ที่ใช้งบประมาณในการสนับสนุนทั่วประเทศราว 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งไทยสามารถบริหารจัดการได้ แต่ถ้ามากกว่านี้เป็นเรื่องที่ยาก

ขณะที่ ในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอ นักลงทุนในตลาดทุนต้องการเห็น 4 มาตรการจากภาครัฐ ได้แก่ 1.การผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจล่วงหน้า 2.การรักษาความเชื่อมั่นผ่านเรื่องดีๆ ที่ไทยยังมีอยู่ 3.การเตรียมรับมือหากภาษีการค้ายังไม่สิ้นสุด 4.การรักษาเสถียรภาพทางการเมืองให้อยู่ในกรอบประชาธิปไตย

นอกจากนี้ FETCO ยังชี้ว่าไทยต้องเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจฝ่า 4 ความท้าทายสำคัญ—เทคโนโลยีขั้นสูงและ AI, ภูมิรัฐศาสตร์ที่ไม่แน่นอน, การย้ายฐานเศรษฐกิจใหม่สู่เอเชีย และผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ซึ่งต้องเร่งส่งเสริมธุรกิจสีเขียวเพื่อสร้างแรงขับเคลื่อนใหม่ให้เศรษฐกิจไทย
ตลาดหุ้นไทยที่ซบเซามายาวนานสะท้อนโครงสร้างอุตสาหกรรมที่ล้าสมัย โรงงานเก่าอายุเฉลี่ยกว่า 30 ปี ขาดการลงทุนในธุรกิจใหม่ ซึ่งเป็นปัจจัยฉุดรั้งการเติบโตในระยะยาว ธุรกิจไทยต้องเปลี่ยนผ่านสู่การทำเทคโนโลยีผ่านฐานเทคโนโลยี และเอไอ