หยวนต้าชี้จังหวะเข้าซื้อ SCGP เพิ่มมูลค่าเป็น 19 บาท ปรับเป้ากำไรปี 68-69

HoonSmart.com>>”เอสซีจี แพคเกจจิ้ง” (SCGP) ร่วงลงแตะ 15.80 บาทถึงจุดที่บล.หยวนต้าแนะนำเข้าซื้อ ธุรกิจเร่งส่งออกก่อนโดนภาษีสหรัฐสูง  ราคากระดาษอินโดนีเซียปรับตัวขึ้น หนุนไตรมาส 2/68  กำไร 900-1,000  ล้านบาท ปรับเป้าปี 67-68 ขึ้น 18% และ 14% เป็น 3,929 ล้านบาท (+1% YoY) และ 4,269 ล้านบาท (+9% YoY)  หนุนราคาเป้าหมายเพิ่มเป็น 19 บาท 

วันที่ 14 ก.ค. 2568 หุ้นบริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) อ่อนแอกว่าตลาด ระหว่างวันลงไปต่ำสุด 15.80 บาท ก่อนฟื้นมาบริเวณ  16.20
บาท ลดลง 0.10 บาท ห่างจากราคาสูงสุดที่ 16.50 บาท และตลาดหุ้นโดยรวมปรับตัวขึ้นบริเวณ 1,130.79 จุด บวก 9.66 จุดหรือ +0.94% ณ เวลา 11.44 น.

บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) คงคำแนะนำ“ซื้อ” หุ้น SCGP ในเชิงกลยุทธ์นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย อาจรอเข้าลงทุนในจังหวะที่หุ้นปรับตัวลงมาที่แนวรับ 15.80 บาท หลังจากราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมาต่อเนื่องราว 46% หลังสหรัฐฯชะลอการขึ้นภาษีนำเข้าได้สะท้อนปัจจัยบวกบางส่วนไปแล้ว

” SCGP ยังมีโอกาสฟื้นตัวได้ต่อในระยะกลาง-ยาว เบื้องต้นคาดกำไรปกติไตรมาสที่ 2/2568 ที่ระดับ 900-1,000 ล้านบาท ทรงตัว-ฟื้นตัวได้ QoQ แม้ได้รับผลกระทบกลุ่มลูกค้ามีการชะลอคำสั่งซื้อในเดือน เม.ย. จากความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า เพราะคาดคำสั่งซื้อที่กลับมาเร่งตัวขึ้นในเดือน พ.ค.-มิ.ย. หลังกลุ่มลูกค้ามีการเร่งส่งออกสินค้า (ผลจากการเริ่มเจรจากับประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ) และปริมาณขายในอินโดนีเซียที่ฟื้นตัวหลังผ่านช่วงวันหยุด Hari Raya จะสามารถชดเชยผลกระทบได้”

นอกจากนี้ราคาขายกระดาษบรรจุภัณฑ์ในอินโดนีเซียยังมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นหลังบริษัท Asia Pulp & Paper (ผู้ผลิตที่มีส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 ของอินโดนีเซีย) เริ่มลดการใช้กลยุทธ์ด้านราคาและปรับราคาขายขึ้นอีกครั้ง ซึ่งจะส่งผลให้ผลประกอบการของ Fajar (ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ในอินโดนีเซีย) มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ขณะที่ YoY คาดกำไรปกติลดลงจากฐานที่สูงในปีก่อนหลังถูกกดดันจากการรับรู้ผลขาดทุนจาก Fajar เพิ่มเติมหลังการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในไตรมาสที่ 3 ปี 2567 ที่ผ่านมา

บล.หยวนต้าปรับประมาณการกำไรปี 2567-2568 ขึ้น 18% และ 14% เป็น 3,929ล้านบาท (+1% YoY) และ 4,269 ล้านบาท (+9% YoY) ตามลำดับ จากการรวมผลของการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนใน Duy Tan (ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ชนิดแข็งในเวียดนาม) เป็น 100% ตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2568 ไว้ในประมาณการและการปรับสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นขึ้น เพื่อสะท้อนการแข่งขันด้านราคาในตลาดอินโดนีเซียที่ลดลง

นอกจากนั้นมองว่ากำไรปกติสำหรับปี 2568 จะยังสามารถเติบโตได้เล็กน้อย YoY แม้รับรู้ผลขาดทุนและต้นทุนทางการเงินเพิ่มเติมจากการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน Fajar แบบเต็มปี เพราะได้แรงหนุนจากเศรษฐกิจในอินโดนีเซียและเวียดนามที่มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง แนวโน้ม  กำไรในช่วงครึ่งปีหลังมีโอกาสฟื้นตัวได้ทั้ง HoH และ YoYหากมองไปยังครึ่งปีหลัง เบื้องต้นคาดกำไรปกติที่ระดับ 2,000 ล้านบาท (1,000 ล้านบาท/ไตรมาส +/-) ฟื้นตัวต่างจากปีปกติที่กำไรมักจะลดลงจากครึ่งปีแรก เพราะได้แรงหนุนจากผลประกอบการของ Fajar ที่คาดขาดทุนลดลงต่อเนื่องจากการแข่งขันด้านราคาในตลาดอินโดนีเซียที่ลดลง (หนุนให้อัตรากำไรขั้นต้นรวมฟื้นตัว) และการปรับโครงสร้างหนี้ของ Fajar (ส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินของกลุ่มฯ ลดลงราว 250 ล้านบาท/ปี+/-)จะสามารถชดเชยปริมาณขายรวมที่มีแนวโน้มลดลงจากผลของฤดูกาลได้

ทั้งนี้คาด Fajar จะสามารถพลิกจากขาดทุนเป็นกำไรได้ในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้และไตรมาสแรกปี 2569 รอเข้าสะสมในช่วงที่ราคาหุ้นปรับตัวลงตามสภาวะตลาดผลจากการปรับประมาณการขึ้นและการปรับไปใช้ EV/EBITDA ในการประเมินมูลค่าที่ 8.1เท่า (ค่าเฉลี่ยหุ้นกลุ่มบรรจุภัณฑ์ใน ไทย ยุโรป ญี่ปุ่น และจีน) ส่งผลให้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2025 เพิ่มขึ้นเป็น 19  บาท/หุ้น มี Upside 16.6% มองว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมาต่อเนื่องหลังสหรัฐฯชะลอการขึ้นภาษีนำเข้าได้สะท้อนปัจจัยบวกบางส่วนไปแล้ว เชิงกลยุทธ์นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อยอาจรอเข้าลงทุนในจังหวะที่หุ้นปรับตัวลงมาที่แนวรับ 15.80 บาท

ทางด้าน 17 โบรกเกอร์ วิเคราะห์หุ้น SCGP มี 8 รายแนะนำ ซื้อ ถือ 6 รายและ 3 รายแนะนำขาย ให้ราคาเฉลี่ย 17.44 บาท โดยบล.ฟินันเซียไซรัสให้ราคาสูงสุด 29 บาท ส่วนบล.ธนชาตให้ราคาต่ำสุดที่ 12 บาท