14 ก.ค.สรุปรายธุรกิจเจ็บจากภาษีสหรัฐ สงครามการค้าเดือด แคนาดาถูกขู่โดน 35% 

HoonSmart.com>> แบงก์ชาติหารือกกร.ประมวลผลกระทบภาษีสหรัฐ ก่อนเคาะแนวทางช่วยเหลือธุรกิจ ด้านรมว.คลังยื่นข้อเสนอใหม่ไปแล้ว 6 ก.ค. นี้ คาดวันจันทร์ที่ 14 ก.ค. จะได้ข้อสรุปรายธุรกิจ-ภาคการผลิตที่ได้รับผลกระทบเพื่อหาแนวทางดูแล  ตลาดหุ้นสหรัฐร่วง ดัชนีดาวโจนส์ติดลบ 279 จุด ทรัมป์ขู่แคนาดาว่าจะเก็บภาษี 35% และอีกหลายประเทศ  เปิดฉากสงครามการค้าทวีความรุนแรง

แหล่งข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า เมื่อวันศุกร์ที่ 11 ก.ค.2568 นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธปท. นางรุ่ง มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน และ นายปิติ ดิษยทัต รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธปท. ได้ประชุมร่วมกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ซึ่งประกอบด้วย ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย เพื่อร่วมกันประมวลภาพเศรษฐกิจ และผลกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ

“เราจะร่วมกันหารือถึงผลกระทบในแต่ละภาคธุรกิจ และภาคการผลิต เพื่อเสนอแนวทางการบรรเทาผลกระทบ และการแก้ปัญหาระยะสั้นในมิติต่าง ๆ ส่งเสริมให้ภาคธุรกิจปรับตัว เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว”แหล่งข่าวระบุ

ทางด้านนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ในฐานะหัวหน้าทีมไทยแลนด์ กล่าวภายหลังการประชุมทีมไทยแลนด์ร่วมกับอีกหลายหน่วยงานที่บ้านพิษณุโลกเช้าวันศุกร์ที่ผ่านมา เพื่อกำหนดแนวทางการเจรจามาตรการภาษีสหรัฐฯ คาดว่าจะได้ข้อสรุปกว้าง ๆ ก่อนถึงกำหนดเส้นตายใหม่วันที่ 1 ส.ค.นี้

“ไทยได้ส่งข้อเสนอใหม่ไปแล้วเมื่อวันที่ 6 ก.ค.ที่ผ่านมา ต้องลงในรายสินค้า หากฝั่งสหรัฐแจ้งมา เราก็พร้อมเสนอเพิ่มเติม ควบคู่ไปกับการเตรียมมาตรการช่วยเหลือภาคเอกชนที่จะได้รับผลกระทบ ซึ่งจะมีการรวบรวมเป็นรายธุรกิจภายในวันที่ 14 ก.ค.ยืนยันว่าสิ่งที่เสนอกับสหรัฐต้องไม่กระทบต่อภาคเกษตกรรมรายย่อยและภาคอุตสาหกรรมรายย่อย”นายพิชัยกล่าว

สำหรับการเจรจาต่อรองนั้นจะกำหนดเงื่อนไข  3 ประเด็น คือ
1.การนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ จะต้องไม่ให้เกิดผลกระทบต่อผู้ผลิตสินค้าในประเทศ ทั้งเกษตรกร และอุตสาหกรรมรายย่อย

2.การแก้ปัญหาเรื่องการสวมสิทธิ์  จะดูแลการนำเข้าสินค้าให้ทั่วถึง ไม่ให้เกิดเรื่องที่ไม่เหมาะสมเหมือนที่ผ่าน และถือเป็นโอกาสในการทบทวนตัวเองให้สินค้าได้รับการกำกับดูแลให้มีประสิทธิภาพ ทั้งขาเข้าและขาออก

3.มาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ โดยเฉพาะเกษตรกร และผู้ประกอบการรายย่อย

“ยืนยันจะทำให้ดีที่สุด ซึ่งสหรัฐฯ ต้องการเจรจาภาษีสินค้าทุกตัว แต่ต้องระมัดวังในเรื่องสินค้าเกษตร เพราะแม้จะมีมูลค่าไม่มากแต่เกี่ยวพันกับคนจำนวนมาก และเชื่อว่าไทยจะไม่ได้รับผลกระทบสูงกว่าประทศอื่น”

ส่วนการซื้อขายหุ้นสหรัฐเมื่อวันที่ 11 ก.ค.2568 ที่ผ่านมา ดัชนีดาวโจนส์ปิดที่ 44,371.51 จุด ลดลง 279.13 จุด หรือ -0.63% ขณะที่ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ร่วงจากสถิติ หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ขู่แคนาดาว่าจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ 35% และขึ้นภาษีสินค้าจากคู่ค้าส่วนใหญ่ในอัตราที่สูงขึ้น ซึ่งยิ่งทำให้สงครามการค้าทวีความรุนแรงขึ้น

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยกระโดดขึ้นแรง ดัชนีปิดที่ระดับ 1,121.13 จุด เพิ่มขึ้น 10.73 จุด หรือ +0.97% มูลค่าซื้อขาย 32,367.57 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อมากถึง 2,187.35 ล้านบาท สถาบันไทยซื้อสุทธิ 762.27 ล้านบาท สวนทางนักลงทุนไทยทิ้ง 2,748.40 ล้านบาท  หลังจากมีแรงซื้อเข้าหุ้นใหญ่ นำโดยหุ้น DELTA-SCC-KTC-PTTGC  จีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ, แบงก์ชาติมีโอกาสลดดอกเบี้ยมากขึ้น

แหล่งข่าวกล่าวว่า นักลงทุนต่างชาติที่กลับมาซื้อมากกว่า 2,000 ล้านบาท เป็นเพียงการซื้อกลับหลังจากขายไปมากแล้ว แนวโน้มตลาดยังมีโอกาสอ่อนตัวลง จากความไม่แน่นอนเรื่องภาษีสหรัฐ การเมืองในประเทศ ที่ส่งผลกระทบต่อกำไรบจ. และการเติบโตของเศรษฐกิจ