HoonSmart.com>>สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เผยภาษี 36% ไม่กระทบตลาดทุนมาก เหตุรับรู้ล่วงหน้าแล้ว รอบนี้ส่งผลตรงเศรษฐกิจจริง คาดจีดีพีเบื้องต้นโต 1.5%-2% มีปัจจัยเสี่ยงสูง จากเดิม 3% กระทุ้งรัฐเร่งเจรจาก่อน 1 ส.ค. ให้ได้ 25% เอกชนไปต่อได้ แนะเปิด 0% ภาคอุตสาหกรรมที่ไทยผลิตได้น้อย พร้อมช่วยหาตลาดใหม่ เพิ่มจัดซื้อสินค้าเอสเอ็มอีเป็น 50%
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูลทประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กะว่าจากกรณีที่สหรัฐอเมริกาประกาศเก็บสินค้านำเข้าจากไทยที่ระดับ 36% ไม่กระทบต่อภาคตลาดทุนมากนักเนื่องจากมีการรับรู้ไปก่อนหน้านั้นแล้วจะเห็นว่าตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีการปรับตัวลดลงไม่มาก นอกจากนี้ตลาดทุนยังได้รับผลบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐและการลดอัตราภาษีของสหรัฐด้วย
ในครั้งนี้ผมกระทบจะตกอยู่ที่ภาคเศรษฐกิจจริงใน 3 กลุ่มใน 3 ด้านหลักๆคือภาคการส่งออกจะเผชิญกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นที่จะต้องมีการปรับตัวค่อนข้างมาก 2 กลุ่ม SME ในประเทศซึ่งยังไม่มีทางออกอย่างไรก็ตามผลกระทบต่อ SME ยังไม่จบเพราะว่าจะต้องรอดูภาษีที่สหรัฐอเมริกาจะเก็บจากจีนด้วยว่าจะเป็นเท่าไหร่ 3 กระทบต่อเม็ดเงินลงทุนโดยตรงผ่านการขอรับสิทธิ์ส่งเสริมจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่อาจจะมีการชะลอการลงทุนในประเทศไทยหากระดับภาษีอยู่ที่ 36%
นายกอบศักดิ์ เสนอรัฐบาลว่า 1.ควรจะมีการเดินหน้าเจรจาเรื่องภาษีการค้ากับสหรัฐอเมริกาอย่างน้อยไม่ควรต่ำกว่า 25% ซึ่งเป็นระดับที่ภาคเอกชนสามารถรับแล้วก็ปรับตัวได้โดยยังมีเวลาอีก 1 เดือนก่อนที่จะมีการบังคับใช้จริงในวันที่ 1 สิงหาคมซึ่งทางประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์ได้มีการเปิดทางไว้ว่าพร้อมที่จะเจรจาหากไทยมีข้อเสนอที่ดี
ทั้งนี้เป็นการยากที่จะสามารถประเมินผลกระทบต่อ GDP ที่แน่นอนได้แต่ในเบื้องต้นคาดว่าจะทำให้ GDP ของไทยโตประมาณ 1.5%- 2% โดยที่ยังมีปัจจัยเสี่ยงด้านอื่นๆกดดันอยู่จากเดิมที่มองไว้ 3% โดยมีปัจจัยบวกสนับสนุน
ผลกระทบต่อ GDP จะสามารถประเมินได้ชัดเจนเมื่อสหรัฐมีการประกาศเก็บภาษีกับทุกประเทศแล้วซึ่งในปัจจุบันในทางเอเชียที่เป็นคู่ค้าสำคัญในใกล้ประเทศไทยกจะมีอินเดีย ผลยังไม่ได้ออกมา จีนก็ยังไม่ได้สรุป รวมถึงไต้หวันและฟิลิปปินส์ มีเพียงเวียดนามที่ออกมาได้ 20% ซึ่งถือว่าต่ำสุด
นอกจากนี้ทางยุโรปก็ยังไม่มีการประกาศออกมายกเว้นอังกฤษประเทศเดียวเมื่อทุกประเทศถูกประกาศออกมาแล้วจะทำให้เห็นภาพว่าไทยจะอยู่ตรงไหนและผลกระทบจะเป็นอย่างไร
2.ภาครัฐคนจัดสรรงบประมาณมาช่วยสนับสนุนด้านการหาตลาดใหม่ๆให้กับผู้ส่งออกไทยโดยเฉพาะในอินโดนีเซียอินเดียรวมถึงอาเซียน
3.เสนอให้ภาครัฐทำระบบจัดซื้อจัดจ้างสินค้าจากเอสเอ็มอี เพิ่มขึ้นเป็น 50% จากเดิมที่ 30% และ 20%
4.รัฐบาลควรพิจารณาเปิดนำเข้าสินค้าบางประเภทที่ 0% ที่ประเทศไทยนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศเข้ามาผลิต เช่นอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อุตสาหกรรมรถยนต์ เช่น ที่ไทยเคยเปิด 0% ให้การลงทุนรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน และอุตสาหกรรมอื่นๆ รวมถึงสินค้าทางการเกษตรบางชนิดที่ไทยยังขาดแคลน
นอกจาก จะเป็นเงื่อนไขที่แลกเปลี่ยนกับสหรัฐแล้วยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันภายในประเทศและทำให้คนไทยได้ราคาสินค้าที่ถูกลง
รัฐบาลต้องทบทวนว่าอะไรที่ควรจะเปิด และเปิดแล้วได้อะไร การปกป้องอุตสาหกรรมดีในระยะสั้น แต่ระยะยาวไม่ดี และการแข่งขันไม่ได้แย่เสมอไป
ยกตัวอย่าง จีนที่เดิมรถยนต์ไฟฟ้ามีราคาสูงมาก เมื่อเปิดให้ tesla เข้าไปทำการผลิตทำให้อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศจีนคึกคักมากแล้วก็มีราคาที่ถูกลง
นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า รัฐบาลต้องรักษาโมเมนตัมทางเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไปได้ทเพราะภาพเศรษฐกิจเกิดการชะลอตัวลงแล้วการกระตุ้นให้ฟื้นเป็นไปได้ยากมากและจะทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศเปลี่ยนไป มีผลต่อสภาพคล่องในตลาดทุน และการปล่อยสินเชื่อในภาคธนาคาร โดยการเมืองยังเป็นหัวใจสำคัญความขัดแย้งสามารถเกิดขึ้นได้แต่ต้องอยู่ภายใต้กรอบประชาธิปไตย
ขณะนี้เศรษฐกิจไทยเข้าสู่โหมดการบริหารวิกฤตที่รออยู่ข้างหน้าที่ปัจจุบันคาดว่าครึ่งปีหลังการส่งออกจะไม่โตน่าจะติดลบ 4.5% ค่าเงินบาทที่แข็งค่าเป็นการซ้ำเติมภาคการส่งออกมากขึ้น การท่องเที่ยวหดตัวการลงทุนภาครัฐเพิ่มชะลอเพราะการเมืองไม่นิ่งส่งผลกระทบต่อการทำงานของราชการขณะที่ภาคการผลิตและการบริโภคไม่ได้กระเตื้องขึ้นซึ่งเป็นปัจจัยที่น่ากังวลใจ
การลดอัตราดอกเบี้ยให้เร็วจะช่วยรักษาทุกอย่างให้พอไปได้สนับสนุนให้มีแรงเฉื่อยขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินไปข้างหน้าได้
นายสถิตย์ แถลงสัตย์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจ และธุรกิจสัมพันธ์ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า กรณีไทยเจอภาษี 36% ไทยจะได้รับผลกระทบ 3 รอบ
รอบแรก กระทบธุรกิจโดยตรง ในภาคการส่งออก ที่จะลดลง สินค้าคงคลังจะสูงขึ้น เช่น ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ และ ธุรกิจเครื่องจักร
รอบ 2 จะกระทบต่อธุรกิจภาคที่เป็นห่วงโซ่อุปทาน หรือ domestic supply chain
รอบ 3 สินค้าจีนทะลักเข้ามาในตลาดไทย
ทั้งนี้ มองว่า ระดับภาษีที่ไทยจะแข่งขันได้ อยู่ที่ 20% เท่ากับเวียดนาม และ ไทยต้องหาตลาดใหม่ๆ ในกลุ่ม OECD ,กลุ่ม BRICS ,อาเซียน และประเทศอื่นๆ
