HoonSmart.com>>”กลุ่มซีพี”ถึงเวลาคืนหนี้ “เจริญโภคภัณฑ์อาหาร” (CPF) เสนอขายหุ้นกู้เพิ่มขึ้นจากเดิมคาดไว้ 6,800 ล้านบาท เป็น 9,896 ล้านบาท ทริสฯคาด 12 เดือนข้างหน้ามีเงินกู้ระยะยาวจากธนาคารและตราสารหนี้ครบประมาณ 5.6 หมื่นล้านบาท ณ มี.ค.68 มีหนี้รวมทั้งสิ้น 4.9 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นของบริษัทย่อย ส่วน”ทรู คอร์ปอเรชั่น” (TRUE) เตรียมขายหุ้นกู้ 4 ชุดให้ประชาชนทั่วไป ดอกเบี้ย 3.20-3.85%ต่อปี “ซีพี แอ็กซ์ตร้า” (CPAXT) ขาย 29-31 ก.ค.นำเงินชำระแบงก์
บริษัททริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 9,896 ล้านบาทและไถ่ถอนภายใน 15 ปีของ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) ที่ระดับ “A” ซึ่งจะใช้ทดแทนอันดับเครดิตหุ้นกู้วงเงินไม่เกิน 6,800 ล้านบาท ที่มีกำหนดไถ่ถอนภายในระยะเวลา 15 ปี ที่ทริสได้ประกาศเมื่อวันที่ 18 เม.ย. 2568 เนื่องจากบริษัทปรับเพิ่มวงเงินของหุ้นกู้ที่ออกจำหน่าย
สำหรับวัตถุประสงค์ในการออกหุ้นกู้ครั้งนี้ ได้แก่ (1) ใช้ในการดำเนินธุรกิจทั่วไป และ/หรือ (2) ขยายธุรกิจ และ/หรือ (3) ลงทุนและ/หรือซื้อหุ้นหรือทรัพย์สิน และ/หรือ (4) ชำระหนี้ และ/หรือ (5) ให้กู้ยืมแก่บริษัทในกลุ่มเจริญโภคภัณฑ์อาหาร
ขณะเดียวกัน ทริสฯยังคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “A” พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน ไม่มีประกันและไถ่ถอนเมื่อเลิกบริษัท (Hybrid Debentures) ที่ระดับ “BBB+” โดยแนวโน้มอันดับเครดิตยังคงอยู่ที่ “คงที่” ยังคงสะท้อนถึงสถานะความเป็นผู้นำในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมระดับโลก รวมถึงการมีฐานการผลิตที่กระจายตัวในหลายประเทศ และการมีสินค้าและตลาดที่หลากหลาย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกจำกัดโดยภาระหนี้สินระดับสูง จากการลงทุนและซื้อกิจการในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ จุดแข็งของบริษัทถูกลดทอนจากความเสี่ยงที่ต้องเผชิญกับความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงความผันผวนของอัตรากำไร นอกจากนี้ ภัยคุกคามจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวที่เกิดจากสงครามการค้าและความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ยังเป็นความเสี่ยงสำคัญอีกด้วย
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างมาก เป็นผลมาจากการดำเนินงานที่ดีขึ้นในธุรกิจสัตว์บก เนื่องจากต้นทุนอาหารสัตว์ที่ลดลงและราคาสุกรที่ฟื้นตัวทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่งผลให้ EBITDA เพิ่มขึ้น 78.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ระดับ 2.2 หมื่นล้านบาทในไตรมาสแรกของปี 2568 อัตราส่วน EBITDA Margin ก็เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 15.1% ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากเทียบกับระดับ 8.7% ในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567
ณ สิ้นเดือนมี.ค. 2568 บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA อยู่ที่ระดับ 6 เท่า คำนวณจากตัวเลขย้อนหลัง 12 เดือน ทั้งนี้ เมื่อไม่นานนี้บริษัทได้ลงทุนเพิ่มเติม 23.8% ใน บริษัท C.P. Pokphand Co., Ltd. (CPP) ด้วยมูลค่าประมาณ 3.6 หมื่นล้านบาท เพิ่มเติมจากค่าใช้จ่ายลงทุนที่วางแผนไว้เดิมที่ระดับ 2.5 หมื่นล้านบาท แต่จากการคาดการณ์ว่าผลการดำเนินงานจะแข็งแกร่งขึ้นในปี 2568 น่าจะช่วยชดเชยผลกระทบต่ออัตราส่วนหนี้สินจากการลงทุนใน CPP ลงได้บางส่วน
ทริสฯประเมินว่าบริษัทจะกู้เงินใหม่ เพื่อชำระคืนหนี้สินทางการเงินส่วนใหญ่ที่จะครบกำหนดในช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดยบริษัทมีเงินกู้ระยะยาวจากธนาคารและตราสารหนี้ที่จะครบกำหนดชำระประมาณ 5.6 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ ทริสคาดว่าบริษัทจะมีค่าใช้จ่ายลงทุนประมาณ 2.5 หมื่นล้านบาทในปี 2568 และเงินลงทุนเพิ่มเติมใน CPP จำนวน 3.6 หมื่นล้านบาท โดยแหล่งที่มาของเงินสด เพื่อรองรับการชำระหนี้ประกอบด้วย เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวน 3.5 หมื่นล้านบาท ณ เดือนมี.ค. 2568 และเงินทุนจากการดำเนินงานที่คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 3.9 หมื่นล้านบาทในปี 2568 ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาจากความสามารถในการเข้าถึงตลาดทุนของบริษัทแล้ว ทริสมองว่า ความเสี่ยงในการกู้ยืมใหม่เพื่อนำมาชำระคืนหนี้เงินกู้เดิมของบริษัทอยู่ในระดับที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ณ เดือนมี.ค. 2568 บริษัทมีหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยรวมหุ้นกู้ที่มีลักษณะคล้ายทุนแต่ไม่รวมภาระผูกพันในสัญญาเช่า รวมทั้งสิ้นจำนวน 4.9 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นหนี้ของบริษัทย่อยที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนประมาณ 3.2 แสนล้านบาท ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนของบริษัทอยู่ที่ระดับ 65% อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากการมีบริษัทย่อยที่ดำเนินธุรกิจกระจายตัวอยู่ในหลายพื้นที่ ทริสจึงมองว่าผู้ถือตราสารหนี้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทไม่มีความเสียเปรียบเจ้าหนี้เงินกู้ที่ไม่มีหลักประกันของบริษัทย่อยอย่างมีนัยสำคัญ
ตามข้อกำหนดทางการเงินของตราสารหนี้ที่ระบุให้บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนต่ำกว่า 2.0 เท่านั้น ณ เดือนมี.ค. 2568 บริษัทมีอัตราส่วนอยู่ที่ 1.3 เท่า ทริสคาดว่าบริษัทจะยังคงสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดทางการเงินได้ตลอด 12-18 เดือนข้างหน้า
TRUE เปิดขายหุ้นกู้ 31 ก.ค.-4 ส.ค.นี้
ทางด้านบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) คาดว่าจะออกและเสนอขายหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน จำนวน 4 ชุด เรทติ้งหุ้นกู้และองค์กรอยู่ที่ A+จ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน เปิดให้ประชาชนทั่วไปจองซื้อระหว่างวันที่ 31 ก.ค.และ 1-4 ส.ค. (รวมวันเสาร์-อาทิตย์ที่ 2-3 ส.ค. เฉพาะการจองซื้อผ่านระบบออนไลน์ของผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้บางรายเท่านั้น) เพื่อนำเงินไปใช้ชำระคืนตราสารหนี้ และให้กู้ยืมเงินหรือชําระหนี้ภายในกลุ่มบริษัท
สำหรับหุ้นกู้ 4 ชุด ประกอบด้วย ชุดที่ 1 อายุ 4 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2572 อัตราดอกเบี้ย 3.20-3.30% ต่อปี ชุดที่ 2 อายุ 5 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2573 อัตราดอกเบี้ย 3.40-3.50% ต่อปี ชุดที่ 3 อายุ 7 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2575 อัตราดอกเบี้ย 3.50-3.65% ต่อปี ชุดที่ 4 อายุ 10 ปี ซึ่งผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนวันครบกำหนดไถ่ถอน ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2578 อัตราดอกเบี้ย 3.70-3.85% ต่อปี
CPAXT ขายหุ้นกู้ปลายก.ค. คืนหนี้แบงก์
บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า (CPAXT) คาดว่าจะออกและเสนอขายหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน จำนวน 4 ชุด เสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนสถาบันและ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ วันที่ 29-31 ก.ค.2568 เรทติ้งองค์กรและหุ้นกู้อยู่ที่ AA- เพื่อนำเงินไปชําระคืนหนี้ธนาคารพาณิชย์
ในส่วนหุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 2 ปี 2 เดือน 19 วัน ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2570 ไม่มีการชำระดอกเบี้ย รอประกาศราคาเสนอขายและอัตราส่วนลด
ชุดที่ 2 อายุ 2 ปี 8 เดือน 19 วัน ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2571 ไม่มีการชำระดอกเบี้ย รอประกาศราคาเสนอขายและอัตราส่วนลด ชุดที่ 3 อายุ 5 ปี 1 เดือน 12 วัน ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2573 รอประกาศอัตราดอกเบี้ย จ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน และชุดที่ 4 อายุ 7 ปี 1 เดือน 12 วัน ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2575 รอประกาศอัตราดอกเบี้ย จ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน
ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารยูโอบี บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร และ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เป็นผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้