กกร.จี้ธปท.ลดดอกเบี้ย ฉุดศก.ครึ่งปีหลัง ดูแลเงินบาท โอดแข็งเร็ว 32.50

HoonSmart.com>>กกร. ค้านธปท.ประเมินเศรษฐกิจปีนี้ จะเติบโตได้ถึง 2.3% ดีขึ้นกว่าเดิม คาดโต 2.0-1.5% ครึ่งปีหลังร่วงแรง ส่งออกหดตัว 10% รวมทั้งปี 0%  จี้ลดดอกเบี้ย เร่งดูแลทิศทางค่าเงินให้สอดคล้องกับภูมิภาคและพื้นฐานเศรษฐกิจ โอด 32.50 บาท แข็งเกินไป ธุรกิจแข่งขันไม่ได้ นัดตบเท้าพบธปท.-สภาพัฒน์-คลัง-พาณิชย์แลกเปลี่ยนข้อมูลทำความเข้าใจร่วมกัน ถึงแนวทางมองเศรษฐกิจในแต่ละภาคส่วน ปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม

นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ในฐานะประธานที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประจำเดือนก.ค.2568 เปิดเผยว่า กกร. ขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และดูแลค่าเงินบาท เพราะมีความกังวลต่อสถานการณ์ที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว มาอยู่ในช่วง 32.50 บาท/ดอลลาร์ และแข็งค่ามากกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย และจีน แนะแยกแยะและลดผลกระทบจากปัจจัยอื่นที่เข้ามากระทบ  เช่น การซื้อขายทองคำ การเกินดุลการชำระเงิน (Balance of Payment) จาก Error& Omission ที่สูงอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น

” เงินบาทแข็งมาก ทำให้ธุรกิจแข่งขันไม่ได้และไม่สอดคล้องกับภาวะเศษฐกิจที่ชะลอตัวอย่างมาก รวมทั้งภาวะเงินตึงตัว สินเชื่อไม่เติบโต และทิศทางดอกเบี้ยอยู่ในภาวะ Inverted Yield Curve หรือการที่ตลาดคาดการณ์ว่าดอกเบี้ยจะลดลงในระยะข้างหน้า”นายผยงกล่าว

นอกจากนี้ กกร. ไม่เห็นด้วยกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ในการมองทิศทางเศรษฐกิจในปีนี้ จะเติบโตได้ถึง 2.3% ซึ่งดีขึ้นกว่าประมาณการเดิม  คาดแนวโน้มครึ่งปีหลังอ่อนแรงลงทั้งปี 2568 ขยายตัวในระดับต่ำที่ 1.5-2.0% โดยจะเติบโตใกล้เคียง 2.0% หากอัตราภาษีที่ไทยถูกเรียกเก็บยังอยู่ที่ 10% ในครึ่งปีหลัง แต่จะลดลงมาใกล้ 1.5% หากถูกเรียกเก็บที่ 18% หรือครึ่งหนึ่งของอัตรา Reciprocal Tariff ท่ามกลางอุปสงค์ภายในประเทศที่มีแนวโน้มชะลอลง จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ต่ำกว่าคาด ซึ่งยังทดแทนด้วย Long haul ได้ รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมือง ที่อาจส่งผลกระทบต่อการเบิกจ่ายงบประมาณในปีงบประมาณ 2568 ที่เหลืออยู่ และการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายประจำปี 2569 ซึ่งจะมีผลต่อเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4

กกร.ยังประเมินว่า การส่งออกครึ่งปีหลังจะหดตัว ในช่วง 5 เดือนแรก ขยายตัวถึง 14.9% เป็นเพราะการเร่งนำเข้า ก่อนหมดช่วงผ่อนปรนของมาตรการภาษีของสหรัฐฯ แต่แนวโน้มมีสัญญาณแผ่วลง และมีความเป็นไปได้ที่มูลค่าการส่งออกในช่วงครึ่งหลังของปี จะหดตัวกว่า -10% รวมทั้งปีขยายตัวใกล้เคียง 0% ซึ่งจะกระทบต่อภาคการผลิต การจ้างงาน และรายได้ของแรงงานในห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้อง

สำหรับเศรษฐกิจโลกในช่วงครึ่งปีหลัง ยังคงเผชิญความไม่แน่นอนสูง แม้การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศต่าง ๆ จะมีความคืบหน้า โดยเฉพาะกับจีน และสหราชอาณาจักร แต่ยังไม่น่าที่จะได้ข้อสรุปก่อนวันที่ 9 ก.ค. 2568 จึงอาจจะนำไปสู่การเรียกเก็บภาษีในอัตราสูงขึ้นหากไม่ขยายเวลาการผ่อนผัน ขณะที่เศรษฐกิจประเทศหลักมีแนวโน้มชะลอลง นอกจากนี้ ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง อาจมีความรุนแรงขึ้นได้อีก

ส่วนการส่งออกสินค้า แม้จะมีการขยายตัวสูง แต่มาจากการนำเข้าที่สูงเช่นกัน สะท้อนจากการผลิต และการจ้างงานที่ยังอยู่ในระดับต่อเนื่อง นับตั้งแต่โควิด-19 ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่มีต่อเนื่อง ได้แก่ ปัญหาการสวมสิทธิ์เพื่อการส่งออกสินค้า (transshipment) การนำเข้าสินค้าคุณภาพต่ำ ที่ยังมีปัญหาในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อป้องกันและควบคุม และนโยบายการส่งเสริมการลงทุนที่ไม่เน้นการสร้างมูลค่าเพิ่ม และสนับสนุนการสร้างซัพพลายเชนในประเทศ จึงควรเร่งการแก้ไขปัญหาการสวมสิทธิ์ ต้องอาศัยความร่วมมือด้านการจัดการข้อมูลอย่างเป็นระบบ ซึ่งนอกจากภาครัฐ เอกชนไทย ยังรวมถึงผู้ประกอบการต่างชาติ ที่เข้ามาอย่างถูกต้องและสนับสนุนธุรกิจในประเทศ เพื่อยกระดับในการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ

นายผยง กล่าวว่า กกร. มีแนวทางที่จะขอเข้าพบธปท., สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์), กระทรวงการคลัง และกระทรวงพาณิชย์ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลในการสร้างความเข้าใจร่วมกัน ถึงแนวทางในการมองเศรษฐกิจในแต่ละภาคส่วน รวมถึงการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม ที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งภาคการเงิน และภาคอุตสาหกรรม ในการร่วมมือกับภาครัฐ เพื่อชี้เป้าอุตสาหกรรมและจัดลำดับความสำคัญ เนื่องจากทรัพยากรที่มีจำกัด ในการส่งเสริมการปรับความสามารถในการผลิตของไทย (competitiveness) รวมไปถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลการค้าการลงทุนจากต่างชาติ ที่ ธปท. ร่วมกับสภาพัฒน์ กระทรวงพาณิชย์ และ กกร.ได้ร่วมกันศึกษา

นายพยงกล่าวถึงโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ซึ่งเป็นโครงการที่เป็นจุดตั้งต้นของการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืนและเป็นรูปธรรม ตามนโยบายรัฐในการขับเคลื่อนการปรับโครงสร้างหนี้ทั้งระบบโดยไม่ขัดต่อวินัยทางการเงินและไม่ทำให้เกิดภาวะภัยทางจริยธรรม (Moral Hazard) ได้ดำเนินการมาตั้งแต่ 12 ธ.ค. 2567 มีลูกหนี้ลงทะเบียนแล้ว 1.4 ล้านราย เข้าข่ายร่วมโครงการ 6.3 แสนราย คิดเป็นยอดหนี้ 4.6 แสนล้านบาท และล่าสุดได้ขยายสู่ระยะที่ 2 โดยปรับปรุงเงื่อนไขของมาตรการเดิมและเพิ่มมาตรการใหม่ เพื่อให้ความช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มเปราะบางได้ครอบคลุมมากขึ้น ประกอบด้วย 3 มาตรการ ได้แก่ มาตรการ“จ่ายตรง คงทรัพย์” มาตรการ“จ่าย ปิด จบ” และมาตรการ“จ่าย ตัด ต้น” ซึ่งจะเป็นการปรับโครงสร้างหนี้เชิงรุก ให้แก่กลุ่มเปราะบางได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ต้องเร่งคู่ขนานกันไปทั้งในการสร้างรายได้ ผลักดันให้ผู้ประกอบการปรับตัว(transform) เพื่อความสามารถในการแข่งขัน และเสริมสวัสดิการที่จำเป็น รวมถึงการแก้ปัญหาเศรษฐกิจนอกระบบและหนี้นอกระบบ เพื่อให้ลูกหนี้สามารถฟื้นตัวได้อย่างมีศักยภาพ และไม่ใช่การแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ