HoonSmart.com>>18 ก.ค.68 นี้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเตรียมจัดงาน “JUMP+ Activation Day: Blueprint to Breakthrough” เวทีเปิดตัว “พิมพ์เขียวเร่งสปีดการเติบโตแบบก้าวกระโดด” สำหรับบจ. ที่พร้อมพลิกโฉมสู่”องค์กรดาวรุ่งแห่งอนาคต”ครอบคลุมโมเดลธุรกิจ ธรรมาภิบาล เทคโนโลยี AI อีเอสจี การสร้างความเชื่อมั่น หวังดึงเงินลงทุนต่างประเทศเข้าสู่ตลาดทุนไทย ย้ำถ้าไม่ทำ มีสิทธิ์หล่นจากทุกดัชนีอ้างอิงการลงทุน

นายอำนวย จิรมหาโภคา ผู้ช่วยผู้จัดการ สายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 18 ก.ค.2568 นี้ จะมีการจัดงาน “JUMP+ Activation Day: Blueprint to Breakthrough” เพื่อร่วมกันระดมความคิดเห็นจัดทำพิมพ์เขียวการเพิ่มศักยภาพความสามารถของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ในทุกมิติ ทั้งด้านความสามารถในการทำกำไรให้เติบโตแบบก้าวกระโดด ตามชื่อโครงการ “JUMP+) หรือ จั๊มพ์พลัส ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 26 พ.ค.2568 โดยมีบริษัทที่สนใจเข้าร่วมรับฟังโครงการมากถึง 280 บริษัท
การจะเติบโตได้ จำเป็นต้องมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านไอที เทคโนโลยีเอไอ คลาวด์ ด้านธรรมาภิบาล การวางระบบ ESG ตามเทรนด์ใหม่ของโลก เพื่อการเติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน เรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
พิมพ์เขียวการเพิ่มศักยภาพนี้ จะเน้นแผนที่สามารถนำไปลงมือทำได้ทันทีและทำได้จริงเห็นผลจริงในระยะ 3 ปี ตามแผน ซึ่งในช่วงเช้าจะมีการระดมความเห็นในการทำแผน “Blueprint for Growth” พิมพ์เขียวเพื่อการเติบโต โดยมีบริษัท Deloitte Thailand จะนำเสนอโมเดลการเติบโตของธุรกิจในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง ตามด้วยช่วง “Blueprint of Trust”พิมพ์เขียวการสร้างความเชื่อมั่น จาก PwC Thailand ที่เน้นย้ำบทบาทของธรรมาภิบาลในการสร้างความเชื่อมั่นและเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจในระยะยาว
แนวทาง “Sustainable Blueprint” พิมพ์เขียวด้านความยั่งยืน จะจัดโดย EY Thailand มุ่งเน้นโอกาสใหม่ทางธุรกิจผ่านตลาดคาร์บอนเครดิตและการวางระบบ ESG อย่างเป็นรูปธรรม
รวมถึงการปลดล็อคเทคโนโลยีเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ที่ได้ผู้เชี่ยวชาญจากจาก Microsoft Thailand และ SCG Logistics มาในแผน “Blueprint for Digital Breakthrough” พิมพ์เขียวดิจิทัลเพื่อการก้าวข้าม จะนำกรณีศึกษาเกี่ยวกับการใช้ AI และ Cloud เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์และการผลิตมาให้เลือกตัดสินใจใส่
นอกจากนี้ ช่วง Breakthrough Engine: Solution ยังเปิดพื้นที่ 4 ห้องย่อย ให้บริษัทที่สนใจ ได้พบกับผู้ให้บริการเทคโนโลยีและที่ปรึกษาชั้นนำ เช่น KPMG และ IBM เพื่อหารือเชิงลึกและวางแผนการดำเนินโครงการที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในองค์กรของตน
ปิดวันด้วยเวิร์กชอป “Build the Right Backbone” สร้างกระดูกสันหลักว่าด้วยโครงสร้างพื้นฐานด้าน IT ที่เหมาะสม โดยได้รับความร่วมมือจาก True IDC และพันธมิตรเทคโนโลยีชั้นนำ ที่เน้นย้ำว่าความพร้อมด้านดิจิทัลเป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตในอนาคตของบริษัท
ช่วงท้ายของวันปิดด้วยเวิร์กชอป “Build the Right Backbone” ว่าด้วยการวางหรือสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ถูกต้องสำหรับความสำเร็จในระยะยาว มุ่งเน้นไปที่โครงสร้างด้าน IT โดยมี True IDC และพันธมิตรเทคโนโลยีชั้นนำ ที่ปัจจุบันความพร้อมด้านดิจิทัลเป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตในอนาคต
“กำไร-มูลค่า”บนเวทีอาเซียนหล่นแรง
หนึ่งในเหตุผลหลักของการจัดทำ”โครงการ JUMP+”ตลาดหุ้นไทยในช่วงปี 2565-2567 ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับภูมิภาค ทั้งในแง่ของสภาพคล่อง (Liquidity) ,มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) จากที่เคยอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับสิงคโปร์ และอินโดนีเซีย เมื่อปี 2566 ตอนนี้อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับมาเลเซีย
การระดมทุนจากประชาชนครั้งแรก (IPO) ที่เคยอยู่อันดับ 1 ในปี 2565 ลงมาอยู่อันดับ 3 ในปี 2567 จาก 5 ตลาด โดยเวียดนาม และฟิลิปปินส์มีการเพิ่มขึ้นในอัตราเร่ง
มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันลดลงหนักสุด เมื่อเทียบกับเวียดนาม เบอร์ซา มาเลเซีย อินโดนีเซีย และสิงคโปร์
หันมามองอัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น (ROE) ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ (SET) และตลาด mai ยิ่งละเหี่ยใจ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากกว่า 18% ในปี 2548 เหลือเพียง 0.7% และ 2.04% ตามลำดับ ณ ต้นปี 2568 ขณะที่กำไรสุทธิและกำไรต่อหุ้น (EPS) ก็ชะลอตัว ส่งผลให้ความเชื่อมั่นนักลงทุนลดลงตามลำดับ และหลุดโผดัชนีอ้างอิงการลงทุนระดับโลกและระดับภูมิภาคกันจนหวั่นใจ
แม้ในปี 2567 จะมีบริษัทจดทะเบียน 391 แห่งจากทั้งหมด 794 แห่ง ที่รายงานกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น แต่มีเพียง 86 บริษัทเท่านั้นที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น สะท้อนความไม่สอดคล้องระหว่างผลประกอบการกับการประเมินมูลค่าในตลาด
“สิ่งที่สร้างความกังวลมากยิ่งขึ้น คือสัดส่วนของบริษัทที่มีราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (P/BV < 1) ต่ำกว่า 1 เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยข้อมูล ณ ปี 2568 ชี้ว่า บริษัทไทยกว่า 60% เข้าสู่โซนมูลค่าต่ำกว่าทางบัญชีต่ำกว่า 1 บ่งชี้ถึงการคาดการณ์การเติบโตในระยะยาวที่ลดลง”นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
ทั้งนี้ ก.ล.ต. มีโครงการ “Corporate Value Up” ภายใต้แนวคิด (1) ธรรมาภิบาลระดับดีเลิศ (2) แผน Value Up ที่ชัดเจนทั้งด้านแผนกลยุทธ์มุ่งเน้นเพิ่มมูลค่ากิจการและแผนการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม ระยะเวลาภายใน 2 ปี และ (3) การสื่อสารกับนักลงทุนอย่างโปร่งใส บจ.มีองค์ประกอบครบถ้วนจะมีคุณสมบัติเข้าเกณฑ์เป็นหลักทรัพย์ที่ Thai ESG หรือ Thai ESGX สามารถลงทุนได้ ซึ่งปัจจุบันมี 2 บริษัทที่ผ่านเกณฑ์คุณสมบัติดังกล่าวแล้ว
ทั้งนี้ เพื่อยกระดับธรรมาภิบาลของภาคธุรกิจไทยทำหน้าที่เป็น ‘กรอบกลยุทธ์’ และ ‘กลไกส่งสัญญาณตลาด’ ผ่านกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (Thai ESGX) และโครงการ JUMP+ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านเชิงระบบอย่างเป็นรูปธรรม นำไปสู่การสร้างตลาดทุนไทยที่แข็งแกร่ง น่าเชื่อถือ และยั่งยืนในระดับสากล
ท่ามกลางการคดในข้องอในกระดูกของผู้บริหาร ล้างผลาญความน่าเชื่อถือของบริษัท ไม่หวาดหวั่นต่อกฎระเบียบ ศักยภาพของบริษัทจดทะเบียนที่บ่งบอกถึงความสามารถด้านการแข่งขันลดลงตามบริบททางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป ความเสี่ยงอุบัติใหม่ทางธุรกิจ การเมือง สิ่งแวดล้อม ที่ไม่เหมือนเดิม
โครงการ JUMP+ จึงเป็นความหวังหนึ่งของตลาดทุนไทย ในการสร้างบริษัทศักยภาพดีส่งเข้าประกวดในตลาดทุนโลก ที่ภาคเอกชนต้องร่วมกันยกระดับธรรมาภิบาล ผลิตภาพ และความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจให้ได้เพื่อนำพาเศรษฐกิจไทยก้าวไปข้างหน้าเพื่อลูกหลาน
เอเชียปรับ ไทยต้องเปลี่ยน
ก่อนหน้านี้ ตลาดหลักทรัพย์ชั้นนำในเอเชีย มีการจัดโครงการเสริมความแข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนไปล่วงหน้าแล้ว ภายใต้แนวคิด “Corporate Value Up” หวังสร้างความเชื่อมั่นและเพิ่มมูลค่ากิจการในระยะยาว เพื่อดึงดูดนักลงทุนทั่วโลก เมื่อเพื่อนบ้านปรับ ไทยต้องเปลี่ยนเพื่อจะได้กลับไปเป็นเสาหลักในอาเซียน

เริ่มกันที่ ตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่น (JPX) ขับเคลื่อนการปฏิรูปธรรมาภิบาลภายใต้แนวทาง “Three Arrows” เพื่อเร่งการปรับตัวของภาคเอกชนซึ่งรวมถึงนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย การคลังแบบยืดหยุ่น และการปฏิรูประบบธุรกิจ ภาครัฐยังเพิ่มมาตรการสนับสนุน อาทิ แรงจูงใจด้านภาษี กลไกการคืนผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้น และการยกระดับการลงทุนผ่านโครงการ NISA รุ่นใหม่ เพื่อสร้างวินัยทางการเงินแก่บริษัทในตลาด Prime Market
ผลลัพธ์เริ่มเป็นรูปธรรมแล้ว โดยกว่า 90% ของบริษัทใน Prime Market ได้ดำเนินการตามแนวทางปรับปรุงประสิทธิภาพเงินทุน นำไปสู่การเติบโตของอัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น (ROE) และเงินปันผลที่สูงขึ้น กลุ่มบริษัทชั้นนำอย่าง Toyota, Sony และ Nomura กำลังเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงนี้
ขณะที่ฮ่องกง (HKEX) พัฒนาเฟรมเวิร์กธรรมาภิบาลใหม่ หวังดึงดูดเงินทุนจากนักลงทุนทั่วโลก
ด้านเกาหลีใต้ (KRX) เปิดตัว “Corporate Value-Up Program” พร้อมด้วยไต้หวัน (TWSE) ที่ขานรับด้วยโครงการ “Capital Market POWER-UP” บังคับให้บริษัทต้องเผยแผนปรับปรุงธุรกิจ พร้อมให้สิทธิประโยชน์ เช่น ค่าธรรมเนียมถูกลง ดัชนี Value-Up และสิทธิลดภาษีเงินปันผล เพื่อส่งเสริมศักยภาพตลาดทุน หลังจากที่เผชิญกับปัญหา “Korea Discount” ที่กดมูลค่าหุ้นให้ต่ำกว่าพื้นฐานจากปัจจัยธรรมาภิบาลอ่อนแอ และโครงสร้างทุนที่ซับซ้อน
ณ เดือนมี.ค.2568 มี 125 บริษัทเข้าร่วมโครงการ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ในตลาด KOSPI คิดเป็น 46% และราคาหุ้นของบริษัทที่เข้าร่วมโครงการในปี 2567 เพิ่มขึ้น 4.5% ขณะที่ดัชนี KOSPI ติดลบ 9.6% ทำให้บริษัทสามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศได้มากขึ้น
ขณะที่ในในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มาเลเซีย (Bursa Malaysia) ก็มีการเปิดแผน “Public Listed Companies Transformation (PLCT)”
เข้าร่วม JUMP+ ได้อะไรบ้าง
นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า บริษัทจดทะเบียนที่เข้าร่วมจะได้รับการช่วยเหลือด้าน หนึ่ง เงินสนับสนุนสูงสุดถึง 5 ล้านบาท เพื่อใช้ดำเนินแผนธุรกิจเชิงกลยุทธ์ จากกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) และหากสามารถบรรลุเป้าหมายตามที่กำหนด จะได้รับเงินรางวัลเพิ่มเติมสูงสุด 5 แสนบาท
สอง ได้รับคำปรึกษาเชิงลึกจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ บริษัทตรวจสอบบัญชี และที่ปรึกษาธุรกิจ รวมถึงเวิร์กช็อปเฉพาะทางเพื่อพัฒนาทักษะผู้บริหาร ปัจจุบันมี 10 บริษัท และยังเปิดรับเพิ่มเติม รวมถึงการอบรม การทำเวิร์คช็อป และกิจกรรมที่ช่วยสนับสนุนแผนงาน JUMP+ ของบริษัท การสนับสนุนด้านเทคโนโลยีต่างๆ
สาม บริษัทที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับการวิเคราะห์จากนักวิเคราะห์หลักทรัพย์บนแพลตฟอร์มเฉพาะ
สี่ ตลาดหลักทรัพย์ จะพาไปปรากฏตัวบนเวทีโรดโชว์ในต่างประเทศ และในประเทศ พบปะสื่อมวลชน และเวทีรางวัล SET Awards ในหมวด JUMP+
ห้า จัดเวลาพิเศษให้เสนอข้อมูลผ่านแพลตฟอร์มของตลาดหลักทรัพย์
หก ส่วนลดค่าธรรมเนียมต่างๆ จากตลาดหลักทรัพย์ฯ ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ และส่วนลดการอบรมจากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย
นอกจากนี้ จะมีการเจรจากับสถาบันการเงิน เพื่อทำทางด่วนการกู้เงินให้มีความรวดเร็วยิ่งขึ้น และสิทธิอื่นๆ โดยจะมีการเจรจากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
“สิทธิประโยชน์ทางภาษีตอนนี้ไม่มี ซึ่งก็เข้าใจข้อจำกัดของภาครัฐ แต่จากสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่เรามีให้ บริษัทจดทะเบียนจะได้ประโยชน์เป็นคนแรก ทำให้ตัวเองแข็งแรงขึ้น มีภาพลักษณ์ที่ดี จะเป็นที่รับรู้ของนักลงทุนในวงกว้างจากที่เราพาไปโรดโชว์ ซึ่งจะดึงดูดนักลงทุนได้มากขึ้น”นายอัสสเดช กล่าว
ติดเครื่องหมายรอป้ายหน้า
สำหรับบริษัทที่จะเข้าร่วมโครงการ JUMP+ ได้ต้องเป็นบริษัทที่จดทะเบียนใน SET และ mai
ไม่ติดเครื่องหมาย CB,CS,CC,CF,NP,SP
ไม่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน
ไม่ถูกสำนักงาน ก.ล.ต.กล่าวโทษภายในระยะเวลา 5 ปี ก่อนวันที่สมัคร
มีเวลาถึง 30 ธ.ค.68

บริษัทที่สนใจ ยังมีเวลาในการถามใจตัวเองว่าพร้อมไหม เพราะยื่นเข้าโครงการได้ถึงวันที่ 30 ธ.ค.268 แต่ต้องมาพร้อมกับแผน JUMP+ 3 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2569-2571 เพื่อให้บจ.จัดทำแผนในปีนี้ที่ส่วนใหญ่จะเริ่มทำแผนในไตรมาส 4 ของทุกปี ที่สำคัญต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการบริษัท หลังจากนั้นก็ต้องบอกกล่าวแผนให้นักลงทุนทราบด้วย
วิน วิน วิน และวิน
ทั้งโครงการนี้ JUMP+ และโครงการ Corporate Value Up ทาง ก.ล.ต. และ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยืนยันว่า จะทำให้ผู้ลงทุนเห็นความโปร่งใสของบริษัทจากกฎเกณฑ์ต่างๆ และช่วยให้นักลงทุนเข้าถึงข้อมูลเห็นศักยภาพของบริษัทในระยะยาว รวมถึงบริษัทที่ผ่านเกณฑ์จะได้รับความสนใจลงทุนเพิ่มจากนักลงทุนต่างประเทศ จะเป็นการเพิ่มสภาพคล่องเข้ามาในตลาดทุน ส่งผลทำให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น
ขณะที่ บริษัทจดทะเบียนจะมีความเข้มแข็ง ทำให้ตลาดทุนไทยเป็นที่น่าดึงดูดและเป็นกลไกในการเติบโตของเศรษฐกิจไทยได้ในระยะยาว
รายงานโดย วารุณี อินวันนา
