CRC ทุ่ม 4.5 หมื่นล้านบ.เปิด 72 สาขาใน 2 ประเทศ รีเซ็ตโมเดลค้าปลีกดัน EBITDA โตปีละ 5%

HoonSmart.com>>”สุทธิสาร จิราธิวัฒน์”ซีอีโอ CRC คนใหม่ ตั้งเป้า EBITDA โตปีละ 5% รีเซ็ตโมเดลค้าปลีกครั้งใหญ่ ภายใต้กลยุทธ์ New Heights,Next Growth เชื่อมทุกแพลตฟอร์มในกลุ่มเซ็นทรัล ลดต้นทุนเพิ่ม ROI ใช้งบ 4.5-4.7 หมื่นล้านบาท ขยายสาขาใหม่ 57-72 แห่งในไทย-เวียดนาม พร้อมเสริมแกร่งแฟชั่นตลาดอิตาลี ดัน 5 แกนหลักยกระดับศักยภาพเติบโตครั้งใหม่ ลั่นพร้อมว่าจ้างพนักงานอีกจำนวนมาก จากปัจจุบัน 6.4 หมื่นคน

นายสุทธิสาร จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC) คนใหม่ เข้ามานั่งเป็นแม่ทัพเมื่อต้นเดือนพ.ค.2568 ต่อจากนายญนน์ โภคทรัพย์ เปิดวิสัยทัศน์และแผนยุทธศาสตร์ 3 ปีในการขับเคลื่อนธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่ง ครอบคลุม 4 กลุ่มธุรกิจในไทย เวียดนาม และอิตาลี อย่างเป็นทางการครั้งแรก โดยวางเป้าหมายรายได้การเติบโตของรายได้ และ EBITDA ปี 2568-2570 ไว้ที่ไม่ต่ำกว่า 5% ต่อปี โดยจะใช้งบลงทุนรวมกว่า 45,000 -47,000 บาท ในการขยายธุรกิจในไทย เวียดนาม และอิตาลี โดยเงินลงทุนจะมาจากกระแสเงินสดที่เป็นสภาพคล่องของบริษัท และบางส่วนจะทำการกู้ธนาคาร โดยสัดส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทอยู่ในระดับ 1.1 เท่า

สำหรับ รายได้สิ้นปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 234,470 ล้านบาท โดย 40% มาจากธุรกิจฟู้ด ในไทยและเวียดนาม ,31.5% มาจากกลุ่มฮาร์ดไลน์ ในไทยและเวียดนาม และ 28.5% มาจากกลุ่มแฟชั่นในไทยและอิตาลี

“การทำธุรกิจในยุคที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัว และพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นับเป็นเรื่องที่ท้าทายใหม่ ที่ CRC ต้องคิดใหม่และทำใหม่ หรือ Rethink & Reset โดยนำเทคโนโลยี AI เข้ามาเสริมแกร่งให้กับการทำงานทุกมิติ ทั้งเสริมศักยภาพบุคลากร ช่วยทำให้เข้าใจและเข้าถึงลูกค้าได้ลึกกว่าเดิม เพราะเอไอมีพลังในการเข้ามาเปลี่ยนแปลงวงจรธุรกิจได้แรงและเร็วมากๆระดับนาที จากเดิมที่พูดกันเป็นรายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน”นายสุทธิสาร กล่าว

นายสุทธิสาร กล่าวว่า จากการที่เป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกและค้าส่ง จะมีการผนึกกำลังหรือประสานกำลังระหว่างกัน รวมถึงใช้ระบบนิเวศน์ หรืออีโคซิสเต็มที่มีความยืดหยุ่น แข็งแกร่ง มาช่วยในการตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั้งช่องทางออฟไลน์ และออนไลน์ การเพิ่มจำนวนลูกค้าให้มากขึ้น การขยายฐานการขายออนไลน์ ทำการปรับปรุงและขยายสาขาให้มีความสมบูรณ์และคลอบคลุมในตลาดที่มีศักยภาพ

สำหรับ กลยุทธ์ New Heights,Next Growth จะมีการผลักดัน 5 แกนหลัก เพื่อยกระดับศักยภาพองค์กรสู่การเติบโตครั้งใหม่ตลอดช่วง 2568-2570 ประกอบด้วย

เพิ่มฐานลูกค้าคนทั่วไป

1. กลยุทธ์ Reinforce Customer Focus โดยจะใช้ฐานข้อมูลจากสมาชิก The 1 Loyalty Program กว่า 26 ล้านราย ในไทยและเวียดนาม โดยในไทยมีสัดส่วน 33% ของประชาชน 66 ล้านคน ในขณะที่เวียดนามยังมีเพียงง 4% ของประชากร 100 ล้านคน หากสมาชิก The 1 มีสัดส่วน 33% จะได้กำลังซื้อทวีคูณเมื่อเทียบกับไทย และเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงเพราะเมืองใหญ่ๆ ที่คนมีกำลังซื้อ กระจายอยู่ทั่วประเทศ ต่างจากไทยที่มีการกระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพ และเมืองใหญ่ไม่กี่แห่ง
นอกจากนี้ จะมีการมุ่งเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ เช่นกลุ่มคนรุ่นใหม่และกลุ่มประชาชนทั่วไป หรือ Young & Mainstream จากปัจจุบันที่โฟกัสลูกค้าที่เป็นสมาชิกและลูกค้า luxury ซึ่งบริษัทมีฐานลูกค้ากลุ่มนี้อยู่น้อยเมื่อเทียบกับตลาดทั่วไป เมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว มีสงครามการค้า ทำให้ลูกค้ากลุ่มนี้รัดเข็มขัด การใช้จ่ายลดลงอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา แต่คาดว่าเมื่อสถานการณ์ดีขึ้นกำลังซื้อน่าจะเป็นปกติ
ขณะที่ การเมืองมองว่า ไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาล เชื่อว่าจะยังมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา เพราะกลายเป็นมาตรฐานของพรรคการเมืองไทยไปแล้ว
รวมถึง การขยายฐานลูกค้าที่เป็นพันธมิตร หรือ กลุ่ม B2B มากขึ้น เพื่อร่วมกันยกระดับประสบการณ์ลูกค้าผ่านช่องทางต่างๆ ( Omnichannel) ให้ตรงกับความต้องการของแต่ละคน

เปิดสาขาอีก 57-72 แห่ง

2.กลยุทธ์ Strengthen CRC Foundation เสริมฐานรากธุรกิจให้แข็งแกร่ง สร้างการเติบโตของยอดขายและกำไร โดยเฉพาะผลักดันยอดขายออนไลน์ให้เติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก เร่งขยายธุรกิจห้างสรรพสินค้า Tops, ไทวัสดุ, โรบินสัน ไลฟ์สไตล์, Food และ Mall ในไทยและเวียดนาม โดยจะเปิดใหม่ 57-72 แห่ง จากปัจจุบันที่มีรวมกันทั้งหมด 421 แห่ง และปรับปรุงสาขาที่มีอยู่เดิม 31-41 แห่ง


แยกเป็น เปิดห้างสรรพสินค้าเพิ่ม 1-2 แห่ง และทำการปรับปรุงสาขา 4-6 สาขา จากปัจจุบันที่มีอยู่ 76 แห่ง,Tops จะเปิดใหม่ 25-30 แห่ง และทำการปรับปรุงสาขา 8-10 แห่ง จากปัจจุบันที่มี 175 แห่ง, ไทวัสดุ จะเปิดใหม่ 13-16 แห่ง และปรับปรุง 8-10 แห่ง จากสาขาที่มีอยู่แล้ว 86 แห่ง ,โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ จะเปิดใหม่ 2-3 แห่ง ปรับปรุงใหม่ 5-7 แห่ง จากที่มีอยู่ 28 แห่ง, GO! Wholesale เปิดใหม่ 4–6 แห่ง และปรับปรุง 6-8 แห่ง จากที่มีอยู่ 42 แห่ง และ Mini go จะเปิดใหม่ 12–15 แห่ง จากที่อยู่ในปัจจุบัน 14 แห่ง

ดันธุรกิจใหม่ GO WHOLESALE-Auto 1

3. กลยุทธ์ Expedite New Growth สร้างการเติบโตให้กับธุรกิจ GO WHOLESALE ที่เป็นเครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนการเติบโตตัวใหม่ของกลุ่ม CRC อย่างต่อเนื่อง ผ่านการขยายสินค้าแบรนด์ของตัวเอง และพร้อมในการให้บริการลูกค้ากลุ่มธุรกิจโรงแรม (Hotel) ร้านอาหาร (Restaurant) กาแฟและธุรกิจจัดเลี้ยง (Café and Catering) หรือเรียกว่า HORECA โดยจะมีการขยายสาขาอีกกว่า 12-18 แห่งภายใน 3 ปี และพัฒนา New Store Concepts และ Fulfillment Store ให้เหมาะกับกลุ่ม HORECA และค้าปลีกอาหาร

รวมถึง เดินหน้าขยายเครือข่ายธุรกิจ Auto1 ศูนย์บริการและจำหน่ายอุปกรณ์รถยนต์ครบวงจร ด้วยการเร่งเปิดสาขาเพิ่มไม่ต่ำกว่า 10 สาขาต่อปี ให้ครอบคลุมทำเลศักยภาพ

ลดต้นทุนเพิ่ม ROI

4.กลยุทธ์ Scale Synergy สร้างความร่วมมือกับธุรกิจทั้งหมดในกลุ่ม CRC และเซ็นทรัลกรุ๊ป เชื่อมโยงโมเดลค้าปลีกทุกแพลตฟอร์มแบบ Hybrid มุ่งเน้นการทำงานร่วมกัน เช่น การใช้พื้นที่ร่วมกัน และ Mixed-use เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการทำงาน ตลอดจนบริหารพื้นที่ขายให้ตอบโจทย์ลูกค้า เพื่อเพิ่มผลตอบแทนการลงทุน (ROI)

5.กลยุทธ์ Disciplined Financial Management บริหารการเงิน ควบคุมค่าใช้จ่าย และลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพ เพื่อรับภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน รวมถึงปรับแผนการลงทุนให้ยืดหยุ่นตามสถานการณ์เศรษฐกิจ บริหารโครงสร้างเงินทุนเพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินและสร้างผลตอบแทนที่ดีแก่ผู้หุ้น

เตรียมจ้างพนักงานเพิ่ม

นายสุทธิสาร กล่าวว่า สำหรับธุรกิจในอิตาลี มีแผนขยายพันธมิตรและผลิตภัณฑ์ใหม่เพิ่มเติม โดยจะดึงแบรนด์ลักษ์ชัวรี เช่น Louis Vuitton และแบรนด์กีฬาชั้นนำ เพื่อยกระดับพื้นที่เชิงพาณิชย์ให้ตอบโจทย์กลุ่มพรีเมียมมากขึ้น
ทั้งนี้ จากการที่บริษัทมีแผนที่จะเปิดสาขาใหม่ตลอดช่วง 3 ปี ทำให้มีความต้องการว่าจ้างพนักงานเพิ่มอีก จากปัจจุบันที่มีพนักงานประจำ พนักงานชั่วคราว และพนักงานพาร์ตไทม์ ใน 3 ประเทศรวมกัน 64,819 คน