HoonSmart.com>>ทริสเรทติ้ง คาดผลประกอบการกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์อ่อนแอลงต่อเนื่อง – รายได้-กำไรลดจากทุกช่องทาง “ค่าคอมฯ–มาร์จิ้น–IB” ส่อแววทรุดยาวนานตามภาวะตลาดทุนซบเซา
บริษัท ทริสเรทติ้ง ออกบทวิเคราะห์ ธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ของไทย คาดว่าในช่วง 12 เดือนข้างหน้า รายได้และกำไรของกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จะยังคงลดลงต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยกดดันสำคัญได้แก่ ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจไทยและการเมือง,การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและนโยบายการค้าสหรัฐฯ,ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ยังไม่ฟื้นตัว
แม้ P/E ตลาดไทยจะลดลงมาอยู่ที่ 15.7 เท่า ณ พฤษภาคม 2568 จาก 19.3 เท่า ณ สิ้นปี 2567 แต่นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ กลุ่มธุรกิจหลักทรัพย์ยังเผชิญความเสี่ยงสำคัญ ด้าน Market Risk เพราะรายได้ส่วนใหญ่ผูกกับภาวะตลาดหุ้น,ความเสี่ยงจากลูกหนี้มาร์จิ้นที่ผิดนัดชำระ หรือ Credit Risk ความเสี่ยงจากการแนะนำการลงทุนผิดพลาด(<span;>Operational Risk),ภาระจากการปรับตัวต่อกฎเกณฑ์ใหม่ (Regulatory Risk)
ตลาดทุนไทยในปี 2568 ยังคงอยู่ในภาวะที่เปราะบาง ภาคธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ต้องเร่งปรับกลยุทธ์และลดการพึ่งพารายได้จากค่าคอมมิชชั่น พร้อมขยายรายได้สู่ธุรกิจที่หลากหลายมากขึ้น เช่น กองทุน ETF หรือบริการที่ปรึกษาทางการเงิน เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันระยะยาว
ขณะที่ ปี 2567 กลุ่มโบรกเกอร์ขาดทุนรวมกว่า 2,870 ล้านบาทพลิกจากกำไรสุทธิ 3,755 ล้านบาท ในปีก่อนหน้า
สำหรับ ไตรมาสแรกของปี 2568 กำไรสุทธิหดตัวลงอีก 36% เหลือ 920 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ค่าคอมฯ-มาร์จิ้น-วาณิชธนกิจ ลด
ค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์ลดลง 11% จากปีก่อน ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันลดลงเหลือ 45,000 ล้านบาท เทียบกับ 51,000 ล้านบาทในปีก่อนหน้า
รายได้จากสินเชื่อมาร์จิ้น (Margin Loan) ลดลง 15% ในปี 2567 และอีก 31% ใน 1Q68 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่บริษัทหลักทรัพย์บางแห่งขยายสินเชื่อโดยขาดความระมัดระวัง ส่งผลให้เกิดหนี้เสียและต้องตั้งสำรองขาดทุนด้านเครดิตสูงถึง 8,129 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา
รายได้ ธุรกิจวาณิชธนกิจ (IB) ลดลง 24% ในปี 2567 และ 17% ใน 1Q68 สะท้อนภาวะตลาดทุนที่ขาดความเชื่อมั่น ทำให้หลายบริษัทต้องเลื่อนแผนการระดมทุนผ่าน IPO ออกไป
รายจ่ายสูง
แม้โบรกเกอร์จะพยายามควบคุมต้นทุน แต่สัดส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ (Cost-to-Income) ยังคงสูง โดยในไตรมาสแรก 2568 อยู่ที่ 71.5% เพิ่มขึ้นจาก 67.1% ในปีก่อน
ด้านบวกที่เห็นได้ชัดคือการเติบโตของรายได้จากธุรกิจตัวแทนซื้อขายหน่วยลงทุน ซึ่งเพิ่มขึ้น 52% ในปี 2567 และอีก 30% ในไตรมาสแรกปี 2568 สัดส่วนรายได้รวมเพิ่มขึ้นเป็น 9% (จาก 4% ในปี 2565)
สะท้อนความนิยมที่เพิ่มขึ้นของกองทุนรวม โดยเฉพาะกองทุน ETF ที่มีการซื้อขายแบบ Real-time และกระจายความเสี่ยงได้ดี
อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งประเมินว่ารายได้จากกองทุนรวม ESGX ซึ่งได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐ อาจช่วยเพิ่มรายได้ในระยะสั้นบ้าง แต่จะไม่ส่งผลต่อภาพรวมอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากข้อจำกัดด้านสิทธิลดหย่อนภาษีและการถือครองระยะยาว