HoonSmart.com>>ศึกใหญ่!”อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค (ECF) “ณัฐปภัสร์ เกสร์ชัยมงคล” ดอดซื้อหุ้น 7.5% ผงาดถืออันดับสอง 11.85% บริษัทยื่นศาลคัดค้านการได้หุ้นมา ด้าน“อรุต ธนาสุวรรณดิถี” เคยถือหุ้นอันดับ 6 ก็เก็บเพิ่มเป็น 7.7438% ส่วน”กลุ่มสุขสวัสดิ์” เจ้าของเดิมเหลือ 28.1289% ยังคงถือหุ้นใหญ่ ตอนนี้เกิดการไล่ซื้อหุ้น ราคาพุ่งซิลลิ่งวันที่ 3
นายพชรฐณพงษ/อารักษ์ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค (ECF) แจ้งตลาดหลักทรัพย์ว่า นายณัฐปภัสร์ เกสร์ชัยมงคล รายงานก.ล.ต.ว่า เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.2568 ที่ผ่านมา ได้หุ้น ECF จำนวน 75,396,550 หุ้น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยเข้ามาถือมากเป็นอันดับสอง รวมทั้งสิ้น 118,396,550 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 11.8455% จากเดิมถือจำนวน 43 ล้านหุ้น หรือ 4.3021% ของทุนเรียกชำระแล้ว จากการปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 14 พ.ค.2568
สำหรับผู้ถือหุ้นหลักเดิมคือ “กลุ่มสุขสวัสดิ์” ยังคงถืออันดับที่ 1 ได้แก่ นายกิตติพัชญ์/ชาลี สุขสวัสดิ์ เดิมถือจำนวน 130,083,350 หุ้น สัดส่วน 13.0148%ล่าสุดเหลือจำนวน 120,083,350 หุ้น 12.0143%ส่วนนายพชรฐณพงษ/อารักษ์ ตกมาอยู่อันดับที่ 3 จากเดิมถือจำนวน 108,900,350 หุ้น 10.8954% เป็น 105,500,350 หุ้น 10.5553% และอันดับที่ 4 คือ นางสาวทิพวรรณ/ปภัทชษา/ธัญญรัตน์ สุขสวัดิ์ จากเดิมถือ 117,562,350 หุ้น 11.7620% ลดลงเหลือ 55,565,800 หุ้นหรือ 5.5593% ส่วนผู้ถือหุ้นอื่นๆ ถือจำนวน 599,959,590 หุ้นหรือ 60.0256%
บริษัทแจ้งว่า การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นรายใหญ่ เป็นการรายงานตามข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเท่านั้น อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างการยื่นคัดค้านต่อศาล สำหรับการได้มาซึ่งหุ้นดังกล่าวของนายณัฐปภัสร์ เกสร์ชัยมงคล และขณะนี้ยังอยู่ในกระบวนการขั้นตอนการพิจารณาของศาลซึ่งยังไม่ได้ข้อสรุป
ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นใหญ่ ในขณะนี้ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอำนาจการควบคุมโครงสร้างการบริหารงาน ตลอดจนการกำหนดนโยบายการดำเนินธุรกิจของบริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค และมิได้เข้าเกณฑ์ในการทำคำสนอซื้อหุ้นต่อผู้ถือหุ้นทั่วไป (Tender Offer) แต่อย่างใด
สำหรับ นายณัฐปภัสร์ เกสร์ชัยมงคล มีรายชื่อติดเป็น 1 ใน 12 ราย ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)ประกาศลงโทษทางแพ่ง กรณีสร้างราคาหุ้นบริษัท สแกน อินเตอร์ (SCN) ระหว่างวันที่ 23 ส.ค.-2พ.ย. 2561
ในวันเดียวกัน ที่นายณัฐปภัสร์ได้หุ้น ECF มาจำนวน 75 ล้านหุ้น หรือประมาณ 7.54%นั้น นายอรุต ธนาสุวรรณดิถี ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 6 ก็รายงานก.ล.ต.ว่า วันที่ 10 มิ.ย. 2568 ได้หุ้น ECF มาจำนวน 5.3426% ทำให้มีหุ้นรวม 7.7438% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ หากนับหุ้นของนายณัฐปภัสร์และนายอรุตมีหุ้น ECF รวม 19.5893%
ส่วนผู้ถือหุ้นหลัก “กลุ่มสุขสวัสดิ์” ถือหุ้นรวม 28.1289% ซึ่งยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่ต่อไป
ที่ผ่านมา ผู้ถือหุ้นใหญ่หรือผู้บริหาร มีการนำหุ้นไปวางเป็นหลักประกันเพื่อขอสินเชื่อซื้อหุ้น (มาร์จิ้น) หรือเล่นบล็อกเทรด ซึ่งราคาหุ้นปรับตัวลงตามภาวะตลาด เมื่อลงมาถึงเกณฑ์ ทำให้โบรกเกอร์มีการบังคับขายหุ้น ฉุดราคาหุ้นดิ่งลงแรงอย่างที่เห็นปรากฎการณ์หลายตัว บริษัทจดทะเบียนต้องเปลี่ยนเจ้าของ หลายบริาทไม่มีผู้ถือหุ้นใหญ่ ปริมาณหุ้นแตกกระจายไปทั่วตลาด นักลงทุนบางรายเห็นโอกาสมีการเก็บหุ้นเพื่อเป็นเจ้าของบริษัทในตลาดหุ้น
ด้านผลการดำเนินงานของ ECF ในปี 2565- ไตรมาส 1/2568 มีกำไรสุทธิ 37.46 ล้านบาท หลังจากนั้นขาดทุน 144.46 ล้านบาท ขาดทุน 231.37 ล้านบาท และขาดทุน 72.26 ล้านบาทตามลำดับ
ขณะที่ราคาหุ้น ECF ไหลลงอย่างต่อเนื่องจากระดับ 1.76 บาท มาอยู่ที่ 0.64 บาท ณ สิ้นเดือนมี.ค.2568 ทำให้มาร์เก็ตแคป จากระดับ 1,688.70 ล้านบาท ตกลงมาเหลือเพียง 31.98 ล้านบาท
ด้านราคาหุ้น ECF ในเดือนมิ.ย. ลงไปต่ำสุดที่ 0.10 บาท หลังจากนั้นขยับขึ้น แต่ในวันที่ 13 มิ.ย. ราคาหุ้นดิ่งลงแรงถึง 81.22% หรือ-1.60 บาท ปิดที่ 0.37 บาท ปริมาณการซื้อขาย 869,210 หุ้น คิดเป็นมูลค่า 0.31 ล้านบาท จนเป็นเหตุให้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ขึ้นเครื่องหมาย P หุ้น ECF เป็นการชั่วคราว เนื่องจาก Auto Pause ตั้งแต่เวลา 09:30 น. เป็นต้นไป โดยมีกำหนด Pre-Open เวลา 10:10 น. และ Open เวลา 10:30 น. เนื่องจากปริมาณเสนอซื้อรวมในทุกระดับราคา หรือปริมาณเสนอขายรวมในทุกระดับราคา มีจำนวนมากกว่า 15% ของจำนวนหุ้นจดทะเบียน
แตในช่วงวันที่ 16 และ 17 ต่อเนื่องถึงวันนี้ (18 มิ.ย.) ราคาหุ้นกลับพุ่งแรงชนซิลลิ่ง 3 วันติดต่อกัน จากระดับ 0.37 บาท มาอยู่ที่ 0.83 บาท น่าจะเกิดจากการไล่ซื้อหุ้นเพื่อหวังครอบครองบริษัท