HoonSmart.om>>”ท่าอากาศยานไทย” (AOT) เสนอบอร์ดจันทร์ที่ 16 มิ.ย.นี้ หาทางออกในการเจรจา” คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี” (KPD) ยื่นแก้สัญญาดิวตี้ฟรี สนามบินภูเก็ต-เชียงใหม่-หาดใหญ่ บ่ายนัดแถลง บล.บัวหลวงแนะ”ขาย” หุ้น AOT มองความเสี่ยง ก้าวต่อไปขอปรับสัญญาสนามบินสุวรรณภูมิ หวั่นกระทบรายได้-กำไรหนัก ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดธุรกิจสนามบินไทย ปี 68 จะมีรายได้ 80,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.2% จากปี 67 ส่วนททท.เผยตลาดนักท่องเที่ยวยุโรปและตะวันออกกลางโตต่อเนื่อง
บริษัทท่าอากาศยานไทย (AOT) ชี้แจงกรณีที่บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี (KPD) มีหนังสือแจ้งเรื่องสัญญาอนุญาตให้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานภูเก็ต ท่าอากาศยานเชียงใหม่ และท่าอากาศยานหาดใหญ่ นั้น ทางฝ่ายบริหารฯ จะเสนอแนวทางการแก้ปัญหาให้ที่ประชุมคณะกรรมการ AOT พิจารณาในวันจันทร์ที่ 16 มิ.ย.นี้ โดยน.ส. ปวีณา จริยฐิติพงศ์ รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ AOT พร้อมด้วยผู้บริหาร ร่วมแถลงเวลาประมาณ 14.45 น. ถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาการประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานที่อยู่ในความรับผิดชอบของ AOT
ทั้งนี้ฝ่ายบริหารฯ จะตั้งคณะกรรมการวิเคราะห์แนวทางเพื่อเจรจา และจ้างที่ปรึกษาที่เป็นสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ ศึกษาและวิเคราะห์ทางเลือกในการแก้ไขปัญหาการประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานที่อยู่ในความรับผิดชอบของ AOT ให้มีความเหมาะสมกับการดำเนินการและบริบททางเศรษฐกิจในปัจจุบัน เพื่อความเป็นกลางในการวิเคราะห์สัญญา คาดว่าจะได้ผลการศึกษาภายใน 60 วัน และเสนอคณะกรรมการ AOT พิจารณาให้ข้อคิดเห็นและปรับปรุงแนวทางให้ดีขึ้นและเป็นประโยชน์กับ AOT
อย่างไรก็ตาม AOT ขอยืนยันว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพการให้บริการผู้โดยสาร และทางบริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี ยังคงประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานของ AOT ตามปกติ
บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง แนะ “ขาย”AOT มองความเสี่ยงการปรับสัญญาที่สนามบินสุวรรณภูมิ แม้ยังไม่ถูกขอยกเลิกในครั้งนี้ แต่มีความเสี่ยงในระยะถัดไป กระทบต่อรายได้และกำไรอย่างมีนัยของ AOT สำหรับรายได้ดิวตี้ฟรี +เชิงพาณิชย์ของ 3 สนามบินดอนเมือง ภูเก็ต เชียงใหม่ ในปี 2567 อยู่ที่ 2,500 ล้านบาท คิดเป็น 11% ของรายได้ concession revenue ของ AOT และคิดเป็นราว 10% ของกำไรสุทธิ
ทั้งนี้ คิง เพาเวอร์ ยื่นหนังสือขอยกเลิกสัญญาดิวตี้ฟรี ทั้ง 3 แห่ง หลังยอดขายตกขาดทุน ยื่นขอเจรจาใน 45 วัน ระหว่างเจรจา ขอเปลี่ยนการชำระส่วนแบ่งผลประโยชน์ที่คิดบน Minimun Guarantee เป็นส่วนแบ่งรายได้ 20 % แทน ตั้งแต่เดือน ก.ค. 2568 เป็นต้นไป คาดหากเกิดการแก้ไขสัญญาในระยะยาว จะมีผลต่อรายได้ +/-1,000 ล้านบาท/ปี กระทบราคาเหมาะสมไม่มาก +/-2-3 บาท/หุ้น และราคาหุ้นตอบสนองเชิงลบกว่าผลกระทบที่เกิดขึ้น
ข่าวการยกเลิกสัญญาดิวตี้ฟรี ทั้ง 3 สนามบินออกมาช่วงบ่ายวันที่ 13 มิ.ย.ที่ผ่านมากระทบราคาหุ้น AOT อย่างหนัก กดลงไปต่ำสุดของวัน 28.50 บาท ลดลง 3.50 บาท ก่อนจะเด้งขึ้นมายืน 30 บาท และปิดที่ 29.75 บาท -2.25 บาท หรือ 7.03% ปริมาณหุ้นซื้อขาย 138.16 ล้านหุ้น มูลค่าซื้อขาย 4,088.10 ล้านบาท ทั้งนี้ราคาหุ้น AOT ทำนิวโลว์ในรอบเกือบ 10 ปี
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยวิเคราะห์แนวโน้มธุรกิจสนามบินไทย คาดว่าในปี 2568 จะมีรายได้อยู่ที่ราว 80,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 0.2% จากปี 2567 ปัจจุบันปัจจัยแวดล้อมธุรกิจสนามบินมีความท้าทายสูง โดยเฉพาะรายได้เกี่ยวกับกิจการการบิน (Aeronautical Revenue) แม้ว่ายังมีปัจจัยสนับสนุน เช่น ปริมาณผู้โดยสารที่ใช้สนามบินคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 145.4 ล้านคน เพิ่มขึ้น 3.4% แต่ชะลอจากปี 2567 ที่โต 15% และปริมาณเที่ยวบินระหว่างประเทศยังมีทิศทางเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาค พบว่า ปลายทางสู่จีนเติบโต 18% (9 เดือนแรกของปี 68 เทียบ 9 เดือนแรกปี 67) ญี่ปุ่น เติบโต 16% ส่วนไทยเพิ่มขึ้นเพียง 8%
สำหรับรายได้ที่ไม่เกี่ยวกับกิจการการบิน (Non- Aeronautical Revenue) ในปี 2568 ได้รับผลเกี่ยวเนื่องจากนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยที่มีแนวโน้มลดลง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อส่วนแบ่งรายได้ที่อาจลดลง
ทางด้านน.ส.ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า เห็นสัญญาณการเติบโตดีในหลายตลาดที่มีนักท่องเที่ยวศักยภาพ โดยเฉพาะยุโรป ตะวันออกกลาง อเมริกา และโอเชียเนีย ที่เติบโตสูง 2 หลักอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีถึงไตรมาสที่ 3 ล่าสุดมีการเปลี่ยนแปลงอันดับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยสูงสุดจากตลาดจีนเป็นมาเลเซีย ในช่วงตั้งแต่ต้นเดือน มิ.ย.เป็นต้นมา เพิ่มขึ้น 13.22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
“นักท่องเที่ยวยุโรปที่มีกำลังซื้อสูงเพิ่มขึ้น 13% โดยเฉพาะตลาดเยอรมนีพุ่งขึ้น 71% อิตาลีเพิ่มขึ้น 28% สวิตเซอร์แลนด์เพิ่มขึ้น 24% ส่วน ตลาดนักท่องเที่ยวตะวันออกกลางซึ่งกำลังเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว เติบโตสูงขึ้นถึง 55% โดยเฉพาะซาอุดีอาระเบีย +61% และเริ่มเห็นตลาดดาวรุ่ง ได้แก่ ตลาดฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 24%”น.ส.ฐาปนีย์กล่าว