HoonSmart.com >> ถึงเวลาหรือยัง ??? ที่หน่วยงานกำกับตลาดทุน ต้องสร้างความเป็นธรรมการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ปลุกความเชื่อมั่นการลงทุน ก่อน AI ครองเมือง นักลงทุนล้มหายตายจากไปมากกว่านี้
ตลาดหุ้นไทยช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เผชิญภาวะตกต่ำอย่างต่อเนื่อง ดัชนี SET ไร้แรงดึงดูดจากทั้งนักลงทุนต่างชาติและรายย่อย สะท้อนถึงความล้มเหลวในเชิงโครงสร้าง ทั้งด้านกลไกการซื้อขายที่ไม่เป็นธรรม กติกาที่บิดเบี้ยว และระบบกำกับดูแลที่ไร้ประสิทธิภาพ
— นักลงทุนถอดใจ “หุ้นไทยไร้เสน่ห์”
แรงขายของนักลงทุนต่างชาติที่มีต่อเนื่องหลายปี บวกกับการถอนตัวของนักลงทุนรายย่อย เป็นเครื่องสะท้อนชัดว่า “ตลาดหุ้นไทยหมดเสน่ห์” นักลงทุนขาดทุนยับ ไม่ว่าจะลงทุนเองหรือผ่านกองทุนรวม แม้ได้รับสิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษี แต่ก็ไม่คุ้มกับพอร์ตที่ “บักโกรก” ติดลบหนักหลายปีติดต่อกัน
— ต่างชาติขายหุ้นไทย 3 ปีติด !
พบว่า 3 ปีย้อนหลัง หรือตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา นักลงทุนต่างชาติ ถอยหลังให้ตลาดหุ้นไทย
ปี 2566 ขายสุทธิ 192,083 ล้านบาท
ปี 2567 ขายสุทธิ 146,906 ล้านบาท
ปี 2568 จากต้นปีถึงวันที่ 13 มิ.ย.68 ขายสุทธิ 72,522 ล้านบาท
เฉพาะเดือนพฤษภาคม 2568 ต่างชาติขายสุทธิ 16,182 ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากการปรับพอร์ตตาม MSCI Rebalance
แม้ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะประกาศว่า ใช้ Big Data, AI และระบบติดตามความผิดปกติล้ำสมัย แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่สามารถปกป้องผลประโยชน์ของนักลงทุนรายย่อยได้เลย
—-กลไกเอื้อ HFT แต่ไม่ปกป้องรายย่อย
นักลงทุนจำนวนมากตั้งข้อสังเกตว่า กฎเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ มักเข้มงวดกับหุ้น “ขาขึ้น” แต่กลับปล่อยให้หุ้น “ขาลง” ดิ่งไม่หยุด โดยไม่มีการแทรกแซง หรือสอบสวนอย่างจริงจัง
ขณะเดียวกัน HFT (High-Frequency Trading) หรือระบบซื้อขายความเร็วสูง ซึ่งดำเนินการโดยโรบอตเทรด กลับกลายเป็นผู้เล่นหลักในตลาด สร้างความได้เปรียบด้านความเร็ว ค่าธรรมเนียมต่ำ ทำให้นักลงทุนรายย่อย รายใหญ่ หรือแม้แต่นักลงทุน VI ต้องเสียเปรียบอย่างชัดเจน
หลายคนถึงกับเปรียบเทียบว่า “รายย่อยไม่มีทางสู้จักรกลสังหาร HFT ได้เลย” และรอบ ๆ ตัวนักลงทุนมีเพื่อนเป็น AI โรบอตเทรด
แม้ว่าที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ ได้ปรับเกณฑ์กำกับดูแลต่อเนื่อง โดยเฉพาะ HFT ที่เพิ่งปรับเกณฑ์ไป แต่อาจต้องติดตามผลต่อไป จะสามารถสร้างความเป็นธรรมให้นักลงทุนทุกภาคส่วนได้หรือไม่ ???
—- HFT + Short Sell = เครื่องจักรทุบตลาด
การเข้ามาของ HFT ยังมาพร้อมกับการใช้กลยุทธ์ Short Sell และ Naked Short (การขายหุ้นโดยไม่ได้ถือครองจริง) ผ่านกระดาน NVDR ซึ่งนักลงทุนชี้ว่า เป็นช่องทางหลักที่ใช้ในการทุบราคาหุ้น
ตลาดหลักทรัพย์ฯ มักตอบกลับคำเรียกร้องให้ตรวจสอบว่า “ไม่พบความผิดปกติ” ทั้งที่หุ้นหลายตัวถูกขายหนักผิดสังเกต และนักลงทุนเสียหายจริง
กรณีคลาสสิกคือหุ้น EA, NEX, BYD, JMART, JMT, SCG, SINGER ที่ร่วงหนักต่อเนื่อง เพราะถูกทุบจากข่าว Margin Call และ Forced Sell
อีกตัวที่ต้องกล่าวถึงคือ หุ้น OTO ร่วงหนักถึง -87% ในเวลาเพียง 8 วันทำการ (จาก 16.20 บาท เหลือ 2.04 บาท ระหว่าง 9–21 มิ.ย.) โดยร่วงติดฟลอร์ถึง 6 วันต่อเนื่อง พร้อมปริมาณซื้อขาย “ผิดหูผิดตา” สะท้อนถึงการเล่นเกมที่อาจผิดธรรมชาติ
—- “ยูนิคอร์น” พังพินาศ – นักลงทุนล้มระนาว
บริษัท สตาร์ทอัพ อัปปาง อย่าง YGG ที่เคยเป็นยูนิคอร์นของไทย ถูก “เล่นงาน” จนราคาหุ้นทรุดหนัก ผู้ถือหุ้นใหญ่นำหุ้นไปค้ำประกัน Margin ก่อนถูก Forced Sell จากแรงทุบของ HFT สุดท้ายต้องสูญเสียสถานะผู้ถือหุ้นใหญ่ เหลือเพียงผู้บริหาร
ขาใหญ่อย่าง “เสี่ยยักษ์ วิชัย วชิรพงศ์” ถึงกับออกมายอมรับว่า “หากยังปล่อยเช่นนี้ นักลงทุนแพ้หมด” เพราะ HFT ไม่ได้ลงทุนตามปัจจัยพื้นฐาน แต่เป็นการเก็งกำไรจากวอลุ่มเทียม สร้างความผันผวน ทำให้รายย่อยตกใจเทขาย และเก็บกำไรจากขาลง
—- ดัชนีร่วง – มูลค่าซื้อขายเหือดหาย
ดัชนี SET ปี 2565 อยู่ที่ 1,668 จุด
สิ้นปี 2566 อยู่ที่ 1,415 จุด
ปี 2567 อยู่ที่ 1,400.21 จุด
13 มิ.ย.68 ดัชนี SET อยู่ที่ 1,122.70 จุด ลดลง 277.51 จุด -19.81% เทียบสิ้นปี 2567
— มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยลดลงต่อเนื่อง
ยุคตลาดหุ้นรุ่งเรือง มูลค่าซื้อขายต่อวัน 5-7 หมื่นล้านบาท เฉลี่ย 45,000-60,000 บาท/วัน
ปี 2565: 43,000–45,000 ล้านบาท/วัน
ปี 2566: 40,000-48,000 ล้านบาท/วัน
ปี 2567: 45,500 ล้านบาท/วัน
ปี 2568: 38,000 ล้านบาท/วัน
(ถึง มิ.ย.): เหลือเพียง 28,000–30,000 ล้านบาท/วัน
บรรดาโบรกเกอร์เริ่มอยู่ยาก การวิเคราะห์หุ้นไม่คุ้มทุน ผู้ลงทุนรายย่อยก็ขาดแหล่งความรู้และข้อมูลสนับสนุน คุณภาพของตลาดทรุดลงอย่างน่าห่วง
โบรกเกอร์หลายราย เริ่มลดต้นทุนพนักงาน ลดต้นทุนสำนักงาน และลดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพื่อความอยู่รอดในสถานการณ์ที่ตลาดหุ้นซบเซา เงียบเหงาต่อเนื่องหลายปีมานี้
—– ถึงเวลาหรือยัง? สังคายนาตลาดหุ้นไทย ก่อนจะไม่เหลือใคร
การปล่อยให้ตลาดหุ้นเดินไปในทิศทางที่เอื้อต่อกลุ่มทุนขนาดใหญ่ โดยไม่มีการตรวจสอบและควบคุมอย่างเป็นธรรม คือ “ความล้มเหลวของระบบ”
ตลาดหลักทรัพย์ฯ ในฐานะองค์กรกลางที่มีหน้าที่ดูแลผลประโยชน์นักลงทุน จำเป็นต้อง ปฏิรูปกลไกกำกับดูแล ตรวจสอบ และสร้างกติกาที่เป็นธรรมและเท่าเทียม ไม่ปล่อยให้ HFT ครองเกมโดยไร้ขอบเขต และไม่เลือกปฏิบัติระหว่างหุ้นขาขึ้นกับหุ้นขาลง รวมทั้งไม่เลือกปฏิบัติระหว่างโบรกเกอร์ขนาดเล็ก กับโบรกเกอร์ขนาดใหญ่ ไม่เลือกพรรคพวก เลือกที่รัก มักที่ชัง ต้องสร้างความเท่าเทียมให้เกิดขึ้นจริง เป็นรูปธรรม
ก่อนที่ “ตลาดหุ้นไทย” จะกลายเป็นเพียงสนามเก็งกำไรของโรบอต และนักลงทุนตัวจริงต้องล้มหายตายจากไปมากกว่านี้