HoonSmart.com>>บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG เปิดดำเนินธุรกิจมานานกว่า 48 ปี ขยายอาณาจักรใหญ่โต สร้างชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วไทยและต่างประเทศ ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่จะยกระดับการดำเนินงาน และให้ความสำคัญกับบรรษัทภิบาล (ซีจี) ผ่านการ “ปรับโครงสร้างทีมผู้บริหาร ปรับระบบควบคุมภายใน และปรับโครงสร้างทางการเงิน” เพื่อเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมาจากผู้มีส่วนได้เสีย (stakeholders) ทุกกลุ่ม เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน มุ่งสู่เป้าหมายกำไรเติบโตอย่างยั่งยืนระยะยาว

ปรับโครงสร้างใหม่ ส่งมืออาชีพเข้าบริหาร
บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป ถือโอกาสกวาดบ้านให้สะอาดครั้งใหญ่ ภายหลังตรวจพบ “การทำรายการอันควรสงสัย” มีการเร่งแก้ไข จนนำไปสู่ “การปรับเปลี่ยนทีมผู้บริหารระดับสูง” เพื่อพลิกวิกฤตที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นจากผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ปัจจุบันบริษัทมีฐานะการเงินอ่อนแอ โดยมีภาระหนี้สินหมุนเวียนมากกว่าสินทรัพย์หมุนเวียนกว่า 5,226.93 ล้านบาท ท่ามกลางกระแสเงินสดที่มีแนวโน้มไม่เพียงพอในการชำระหนี้ในอนาคต ซึ่งการมีมืออาชีพเข้ามาบริหาร THG จะสามารถเรียกความเชื่อมั่นของบริษัทกลับคืนมาได้เร็ว และส่งผลดีต่อการเติบโตในระยะยาว เพราะการตัดสินใจจะมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การจัดสรรทรัพยากร การบริหารการลงทุน การบันทึกบัญชีใช้ความระมัดระวัง เช่น การด้อยค่าของสินทรัพย์ ช่วยลดความผันผวนของการรายงานผลการดำเนินงานในแต่ละปี
นอกจากนี้ได้มี “การปรับระบบควบคุมภายใน” มีการตรวจสอบและถ่วงดุล (Checks and Balances) ปรับกระบวนการทำงาน ขั้นตอนการอนุมัติเงินกู้ยืมภายในกลุ่ม การตรวจสอบ การเปิดเผยข้อมูลให้รวดเร็วทันต่อสถานการณ์และโปร่งใส เพื่อไม่เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเดิม เร่งฟื้นความเชื่อมั่นจากทุกฝ่าย
“ข่าวเชิงลบไม่ได้ทำให้บริษัทเสียหายทางการเงิน แต่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของคนไข้ เจ้าหนี้ โดยเฉพาะสถาบันการเงิน “สั่งระงับการใช้วงเงินชั่วคราว” นอกจากนี้บริษัทฯ ยังไม่สามารถดำรงอัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ และสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นใหญ่ (กลุ่มวนาสิน) ที่ 15% ตามเงื่อนไขในสัญญาเงินกู้ได้ ล่าสุดกลุ่มวนาสินถือหุ้น 8.8% ของทุนเรียกชำระแล้วเท่านั้น”

เงินเพิ่มทุน 6,279 ล้านบาท แก้ปัญหาเบ็ดเสร็จ
ดังนั้นคณะกรรมการบริษัทฯจะต้องเร่งหาทางออกโดยเร็ว ก่อนที่จะผิดนัดชำระหนี้ จนต้องตัดสินใจ “ปรับโครงสร้างทางการเงิน” ประกาศเพิ่มทุนจดทะเบียนครั้งใหญ่ กำหนดวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2568 ในวันจันทร์ที่ 9 มิ.ย. 2568 เวลา 09.00 น. ณ นันทอุทยานสโมสร (ตรงข้ามโรงพยาบาลธนบุรี 1) เพื่อพิจารณาวาระการเพิ่มทุนจำนวน 941,686,960 หุ้น เป็นทุนใหม่ 1,789,154,360 หุ้น โดยออกและเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่บุคคลในวงจำกัด (PP) จำนวนไม่เกิน 430,500,000 หุ้น ให้แก่ บริษัท โรงพยาบาลรามคำแหง (RAM) ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับหนึ่งสัดส่วน 24.59% ในราคาหุ้นละ 8.65 บาท มูลค่าทั้งสิ้น 3,723.82 ล้านบาท ส่วนหุ้นเพิ่มทุนที่เหลือจำนวน 511,186,960 หุ้น เสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม (RO) อัตราส่วน 5 หุ้นเดิม ต่อ 2 หุ้นใหม่ ราคาหุ้นละ 5 บาท มูลค่าไม่เกิน 2,555.93 ล้านบาท ทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 14,540.49 ล้านบาท (กรณีใช้สิทธิเต็มจำนวน) จากเดิมที่ 8,260.73 ล้านบาท
“กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหง” จะกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่รวมทั้งสิ้น 49.99% ของทุนเรียกชำระแล้ว ข้ามจุด 25% จึงมีหน้าที่ทำคําเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมด แต่ขอผ่อนผัน ซึ่งที่ประชุมผู้ถือหุ้นครั้งนี้ จะต้องอนุมัติการเพิ่มทุน และอนุมัติวาระผ่อนผันโดยอาศัยมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น (Whitewash) ด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนเสียงทั้งหมดของผู้ถือหุ้นที่มาประชุมและมีสิทธิออกเสียงลงคะแนน ไม่นับรวมการออกเสียงของผู้ขอผ่อนผันและบุคคลที่กระทำการร่วมกัน (Concert Party)
กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหง พร้อมสนับสนุนการเพิ่มทุนกว่า 5,000 ล้านบาท และเชื่อว่าผู้ถือหุ้นเดิมส่วนใหญ่จะใช้สิทธิซื้อหุ้นตามสัดส่วน และหากมีการจองซื้อไม่ครบตามสิทธิก็คาดว่าจะมีการจองซื้อเกินสิทธิ เพราะราคาขายที่กำหนด 5 บาท ให้ส่วนลดค่อนข้างมาก หากบริษัทเพิ่มทุนสำเร็จครบทั้งหมดจะได้รับเงินจำนวน 6,279 ล้านบาท สร้างความแข็งแกร่งทางการเงินในระยะยาว หลังจากนำเงินส่วนใหญ่ไปชำระหนี้ทั้งระยะสั้นและระยะยาวสถาบันการเงินกว่า 5,000 ล้านบาท ลดภาระดอกเบี้ยจ่ายกว่า 300 ล้านบาทต่อปี จากปัจจุบันมีหนี้สินกับสถาบันการเงินและหุ้นกู้สูงถึง 9,605 ล้านบาท ซึ่งจะเพิ่มสภาพคล่อง เพิ่มกำไรจากดอกเบี้ยที่ลดลง ด้วยเงินทุนที่ไม่มีต้นทุนทางการเงินตามสัญญา มีกระแสเงินสดเหลือเพียงพอในการขยายการลงทุน และ/หรือจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น
อัตราส่วนทางการเงินก็ดีขึ้นมาก สัดส่วนหนี้สินทั้งหมดต่อส่วนของผู้ถือหุ้นจาก 1.53 เท่า ลดลงเหลือ 0.49 เท่า สำหรับอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นจาก 1.21 เท่า ลดลงเหลือ 0.28 เท่า และอัตราส่วนสภาพคล่อง (Current Ratio) จาก 0.37 เท่า เพิ่มขึ้นเป็น 1.44 เท่า โดยไม่ต้องกังวลเรื่องหุ้นกู้คงค้างประมาณ 1,700 ล้านบาท เพราะยังมีเวลาอีก 2 และ 4 ปี ถึงจะครบกำหนดชำระคืน
ที่มา: ราคาขายพีพีที่ 8.65 บาท/หุ้น
วิธีการประเมินมูลค่าหุ้นที่เหมาะสมมี 6 วิธี โดยบริษัทหลักทรัพย์ บลูเบลล์ ที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ มีความเห็นว่า วิธีมูลค่าปัจจุบันสุทธิของกระแสเงินสด (Discounted Cash Flow Approach) มีความเหมาะสมกับหุ้น THG มากที่สุด ซึ่งจะได้มูลค่าระหว่าง 6,979.02 – 9,957.06 ล้านบาท หรือ 8.24 – 11.75 บาทต่อหุ้น ซึ่งราคาเสนอขายแบบ PP ที่หุ้นละ 8.65 บาท เป็นราคาที่เสนอขายไม่ต่ำกว่า 90% ของราคาถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของหุ้นของบริษัทฯ ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ย้อนหลัง 15 วันทำการติดต่อกัน (เท่ากับ 9.19 บาท/หุ้น) ก่อนวันที่คณะกรรมการบริษัทมีมติเสนอวาระต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ซึ่งมีความเหมาะสมเป็นไปตามเงื่อนไขการดำเนินธุรกิจปกติ และเป็นผลดีต่อ THG อย่างมีนัยสำคัญ อาทิ มีเงินสดและสภาพคล่องเพิ่มมากขึ้น ได้แหล่งเงินทุนจากพันธมิตรที่มีศักยภาพเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งในอนาคตได้อย่างต่อเนื่อง ลดความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ในอนาคต

THG+RAM ได้ประโยชน์หลายเด้ง
โรงพยาบาลรามคำแหง เข้ามาถือหุ้นเกือบ 50% ก่อให้เกิด Synergy กับเครือธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป อย่างชัดเจนในหลายมิติ สร้างประโยชน์ให้อย่างมหาศาล เริ่มจากการมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศไทย เมื่อนับจากจำนวนตียงจดทะเบียนของ THG จำนวน 1,767 เตียง และ RAM จำนวน 6,800 เตียง รวมทั้งสิ้น 8,567 เตียง ทั้งนี้ THG ยังไม่รวมกับการเปิดบริการเพิ่มเติมภายในปี 2568 ของโรงพยาบาลอีกหลายแห่ง
ที่สำคัญ ถึงแม้ว่า THG และ RAM จะประกอบธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนในระดับตติยภูมิเช่นเดียวกัน แต่ไม่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ (Conflict of Interest) ที่จะเกิดขึ้นระหว่างกัน เนื่องจากลักษณะการดำเนินธุรกิจของทั้งสองฝ่ายมีความแตกต่าง และสามารถเสริมศักยภาพซึ่งกันและกัน อาทิ
พื้นที่การให้บริการการรักษาพยาบาล โรงพยาบาลธนบุรี 1 ซึ่งเป็นโรงพยาบาลหลักของบริษัทฯ ตั้งอยู่ในพื้นที่ด้านตะวันตกของกรุงเทพมหานคร และโรงพยาบาลในเครือ มีโอกาสในการเติบโตในพื้นที่ด้านในกรุงเทพฯ ภาคใต้ เช่นที่ นครศรีธรรมราช, ตรัง, สงขลา, ภูเก็ต และภาคตะวันออกอย่างจันทบุรี รวมถึงภาคอีสาน ได้แก่ อุบลราชธานี
ขณะที่โรงพยาบาลรามคำแหง ซึ่งเป็นโรงพยาบาลหลักของ RAM ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกของกรุงเทพฯ และโรงพยาบาลในเครือ ตั้งอยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออกในเขต “อีอีซี” ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้พื้นที่การให้บริการของทั้งสองกลุ่ม กระจายตัวอยู่ตามภูมิภาคต่าง ๆ ไม่ทับซ้อนกัน และไม่มีการแข่งขันโดยตรงในด้านพื้นที่การให้บริการการรักษาพยาบาล
กลุ่มผู้ป่วยเป้าหมายก็แตกต่างกัน THG มุ่งเน้นการให้บริการแก่ผู้ป่วยชำระเงินเอง และผู้ป่วยต่างชาติที่เข้ามาใช้บริการทางการแพทย์ เนื่องจากที่ตั้งของโรงพยาบาลในเครืออยู่ในพื้นที่ หรือ จังหวัดที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยว หรือ รับบริการทางการแพทย์ซึ่งเป็นจุดแข็งของโรงพยาบาลในเครือของบริษัท
ส่วน RAM ให้บริการแก่ผู้ป่วยหลากหลายรูปแบบ ทั้งผู้ป่วยชำระเงินเอง ผู้ป่วยสิทธิโครงการประกันสังคม (สปส.) และผู้ป่วยสิทธิโครงการสำนักงานประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ซึ่งกลุ่มผู้ป่วยเป้าหมายที่แตกต่างกัน
“THG มีรายได้หลักเกือบ 90%ของทั้งหมด มาจากธุรกิจโรงพยาบาล มีจุดเด่นในเรื่องความชำนาญรักษาโรคที่ยาก เพิ่มรายได้ต่อบิลของกลุ่มลูกค้าตะวันออกกลาง การ Synergy กับกลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหง จะเพิ่มรายได้ในประเทศ ทำให้กำไรเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง จากการเสริมสร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่างกัน เช่น การให้บริการทางการแพทย์ การส่งต่อผู้ป่วย การพัฒนาศักยภาพของบุคลากร การเพิ่มอำนาจในการเจรจาจัดซื้อเครื่องมือและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ร่วมกัน ซึ่งจะนำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ และการขยายพื้นที่ให้บริการครอบคลุมพื้นที่ให้บริการในระดับประเทศ “
ปี68 เป้ารายได้เฉียด 10,000 ล้านบาท
การดำเนินงานในปีนี้ THG ประมาณการว่าจะสามารถทำรายได้ใกล้ๆ 10,000 ล้านบาท จะมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับ 23-24% EBITDA margin น่าจะอยู่ที่ 18 – 20% โดยไตรมาสแรกมีรายได้รวม 2,296.25 ล้านบาท กำไรสุทธิ 13.05 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ 1.13% พลิกจากปี 2567 ขาดทุนสุทธิ 1,764.51 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ -18.44%
ทั้งนี้ในปี 2564 บริษัทฯมีรายได้รวม 10,974.92 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,337.43 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ 12.36% และในปี 2565 มีรายได้รวมเพิ่มเป็น 11,983.90 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,601.69 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ 13.99%
นอกจากนี้ยังมีการบริหารทรัพย์สินที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดและสร้างกำไรพิเศษ ปัจจุบันกำลังเจรจาขายที่ดินที่อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานีกว่า 200 ไร่ คาดว่าจะจบดีลภายในปีนี้มูลค่า 2,000 ล้านบาท เทียบกับต้นทุนที่ประมาณ 1,300 – 1,400 ล้านบาท ส่วนการตั้งด้อยค่าของโครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ จำนวน 1,500 ล้านบาท และ โรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง 1,300 ล้านบาท มีโอกาสทยอยรับรู้กลับมาเป็นกำไร ปัจจุบันโครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ ยังมีมูลค่ารอการขายอีกกว่า 700 ล้านบาท หลังจากขายได้แล้วกว่า 54% ส่วนโครงการลงทุน รพ. ARYU International Hospital ที่เมียนมาก็ไปได้ดี สำหรับศูนย์ BeWell Health and Wellness Clinic ในเวียดนาม เพิ่งเปิดดำเนินการปีนี้ยังไม่มีกำไร
นักวิเคราะห์เล็งปรับเป้าหลังเพิ่มทุน
นักวิเคราะห์ต่างมีมุมมองบวกมากขึ้นต่อ THG บล.กรุงศรี เห็น 3 ประเด็น คือ 1.การเพิ่มทุนมีความชัดเจน 2.ราคาเพิ่มทุน RO มี Price dilution ใกล้เคียง share dilution ที่ราว 53%(ใช้สิทธิเต็มจำนวน) จูงใจให้ใช้สิทธิและ 3.คาด IBD/Equity ลดลงจาก 1.2 เท่า เหลือราว 0.44 เท่า กรณีนำเงินบางส่วนไปชำระคืนเงินกู้และมีสภาพคล่องดีขึ้น โดยอยู่ระหว่างทบทวนประมาณการบริษัท ในเบื้องต้นมองว่าหากการเพิ่มทุนสำเร็จ จะช่วยลดความกังวลต่อฐานะการเงินและมีความเชื่อมั่นมากขึ้นต่อโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหม่

