THRE กำไรไตรมาส 1 พุ่ง 418% คาดรายได้ลงทุนปีนี้แตะ 3.5%

HoonSmart.com>>ไทยรับประกันภัยต่อ ทำกำไรไตรมาส 1 ปี’67 พุ่ง 418% แตะ 57 ล้านบาท รับอานิสงส์อัตราเบี้ยปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง จากค่าเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น คาดปีนี้โตไม่ต่ำกว่า 10% ผลตอบแทนลงทุน 3.5%

นายโอฬาร วงศ์สุรพิเชษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยรับประกันภัยต่อ  (THRE) เปิดเผยว่า ไตรมาส 1 ปี 2567 บริษัทฯมีเบี้ยประกันภัยต่อรับรวม 1,276 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 125 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือเพิ่มขึ้น 11% และมีกำไรสุทธิ 57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 418% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 11 ล้านบาท

ทั้งนี้ เป็นผลมาจากเบี้ยประกันภัยต่อเติบโตทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์รายบึคคล และลูกค้าองค์กร ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับกลยุทธ์ของบริษัทเพื่อให้เหมาะสมกับสภาวะตลาดที่เบี้ยประกันภัยปรับตัวสูงขึ้น

นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถทำรายได้เงินลงทุนสุทธิ 18 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งสะท้อนมาจากกลยุทธ์การปรับพอร์ตการลงทุน

ในส่วนของกำไรที่ปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากปีนี้บริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19  เช่นอดีต และบริษัทสามารถรักษาอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ประกันรับสุทธิ (Combined Ratio) ไว้ได้อยู่ในระดับ 96.7% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2566 ที่มี Combined Ratio อยู่ที่ระดับ 98.2%

สำหรับ กลยุทธ์การตลาดในปีนี้ ยังคงมุ่งเน้นสร้างการการเติบโตส่วนของการเป็นผู้พัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยร่วมกับบริษัทประกันภัยอื่น ผ่านความเชี่ยวชาญด้านอินชัวร์เทคจากบริษัท บลูเวนเจอร์ กรุ๊ป หนึ่งในผู้นำด้านบริการเคลมของธุรกิจประกันภัยรถยนต์และสุขภาพ ซึ่งเป็นบริษัทลูก และการขยายธุรกิจเชิงรุกในประเทศเพื่อนบ้านอย่างต่อเนื่อง <span;>ทั้งประเทศกัมพูชา สปป.ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม

นอกจากนี้ยังมองหาจังหวะที่เหมาะสมในการเข้าไปเจาะตลาดประกันภัยต่อประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งมีขนาดตลาดใหญ่ และมีศักยภาพการเติบโตสูง

“เราเชื่อว่าบริษัทจะสามารถรักษาการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าเบี้ยประกันภัยต่อรับสำหรับปี’67 จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% ในขณะเดียวกัน เราก็ยังคงดำเนินการรักษา Combined Ratio ไว้ที่ระดับ 94-96%” นายโอฬารกล่าว

นายโอฬาร กล่าวว่า บริษัทยังคอยจับตามองหาโอกาสในการลงทุนอย่างใกล้ชิด และได้มีการปรับกลยุทธ์การลงทุน จากเดิมที่ใช้นโยบายที่ระมัดระวังมาตลอดในปีที่ผ่านมา คาดว่าจะสามารถทำผลตอบแทนจากการลงทุนปี 2567 ได้ที่ระดับ 3.5% ซึ่งสูงกว่าปี 2566 ที่ทำไว้ที่ 2.1% (กรณีไม่รวมรายได้จากการขายหุ้น BVG IPO)