บอนด์ยีลด์สหรัฐฯลดลง ดึงเงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้น

HoonSmart.com>>อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ระยะสั้นอยู่ในแนวโน้มขาลง ตลาดคาดโอกาสการลดดอกเบี้ยสหรัฐปีนี้ 2 ครั้ง หนุนหุ้นพุ่ง คาดหวังเงินลงทนไหลกลับ  ต่างชาติซื้อหุ้นไทย 1,796.52 ล้านบาท

วันที่ 6 พ.ค.2567 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ(US-Bond Yield) อายุ 5 ปี และ 10 ปี ยังคงลดลงต่อเนื่อง โดยพันธบัตรอายุ 10 ปี ลดลงมากกว่า 0.10%อยู่ที่ 4.489% เป็นการลดลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่วันที่ 25 เมษายน 2567 ซึ่งอยู่ที่ 4.706%

ขณะที่พันธบัตรอายุ 2 ปี อัตราผลตอบแทนเพิ่มเกือบ 0.30% เป็น 4.835%

บล.ไอร่า มองว่า การเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (Dollar Index) และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (US-Bond Yield) ยังปรับตัวลงต่อเนื่อง สะท้อนการเปิดรับความเสี่ยงที่มากขึ้นของตลาด (Risk-On) หนุนทิศทางราคาสินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวขึ้นได้

ทั้งนี้ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเริ่มปรับลดวงเงินในการปล่อยให้พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐหมดอายุลงโดยไม่มีการซื้อคืน (QT) เหลือเพียง 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ จากก่อนหน้าที่ระดับ 6 หมื่นล้านดอลลาร์

ขณะที่วงเงิน QT สำหรับตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง (MBS) จะอยู่ที่ระดับ 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

จึงมองว่าประเด็นดังกล่าวถือเป็นก้าวแรกในการเริ่มกลับมาเพิ่มสภาพคล่องส่วนเกินเข้าสู่ตลาด คาดจะหนุนทิศทางราคาสินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวขึ้นได้ต่อ

กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ กรุงศรี ให้ความเห็นว่า หลังการจ้างงานสหรัฐฯลดความร้อนแรงลงในเดือนเมษายน อีกทั้งมุมมองตลาดเรื่องการคงดอกเบี้ยสูงยาวนานของเฟดได้ถูกสะท้อนอยู่ในราคาพอสมควรแล้ว

นอกจากนี้ เฟดเปิดเผยว่าจะชะลอการปรับลดขนาดงบดุล (Quantitative Tightening) ตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นไป โดยเฟดจะปล่อยให้ขนาดการถือครองพันธบัตรสหรัฐฯลดลง 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน เทียบกับอัตรา 6 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือนในปัจจุบัน แต่เฟดจะยังคงปล่อยให้การถือครองหลักทรัพย์ที่ได้รับการค้ำประกันจากสัญญาจำนอง (Mortgage-backed Securities) ลดลง 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือนตามเดิม

มองว่าบรรยากาศการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงที่สดใสขึ้น แต่อาจทำให้เงินดอลลาร์เผชิญแรงขายทำกำไรในระยะนี้

บล.กรุงศรี พัฒนสินฯ ระบุว่า หลังตัวเลขแรงงานสหรัฐออกมาชะลอ ผสานการให้สัมภาษณ์ Fed ออกมาในโทน hawkish น้อยกว่าที่ตลาดคาดก่อนหน้า และยังยืนว่าการขึ้นดอกเบี้ยเป็นไปได้ยากมาก ทำให้ตลาดคาดโอกาสการลดดอกเบี้ยสหรัฐปีนี้อิง CME Fed Watch tools คือลด 2 ครั้ง (จากเดิม 1-2 ครั้ง) โอกาสการลดดอกเบี้ยครั้งแรก คือ รอบ ก.ย.2567 และปรับลดอีกครั้ง รอบ ธ.ค.2567 โดยอัตราดอกเบี้ยสิ้นปี 2567 จะอยู่ที่ 4.75-5.0%

ขณะที่ อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ แนวโน้มระยะสั้นเป็นขาลงชัด โดยพันธบัตรอายุ 10 ปี อยู่ที่ 4.487% (ต่ำสุดตั้งแต่ 4 เม.ย.2567) หลุดแนวรับบริเวณ 4.58% คลายแรงกดดันต่อสินทรัพย์เสี่ยง โดยราคาน้ำมันมีการลดความผันผวนลง เช่นเดียวกับ 2 ปี อยู่ที่ 4.83% อายุ 10 ปี -10 bps

ทั้งนี้ จากข้อมูลในอดีตที่ผ่านมา การที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอเมริกามีการปรับตัวลดลง เป็นผลมาจากก​ารคา​ดการณ์ว่าใ​น​อน​​​าคตจะ​​​มีก​ารลดด​อกเบี้ย ​ซึ่งจะทำให้ธนาคารกลางของประเทศอื่นๆ มีการผ่อนคลายนโยบายด้านดอกเบี้ยมากขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมของธุรกิจทั่วโลกลดลง หนุนกำไรของบริษัทดีขึ้น

นอกจากนี้ จะทำให้อัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้มีแนวโน้มปรับตั​ว​ลดลงลดลงด้วย ก็ทำให้ตลาดหุ้นมีความน่าสนใจมากขึ้น ส่งผลให้ Fund Flow ไหลกลับเข้าตลาดหุ้นไทย

สำหรับหุ้นที่จะได้ประโยชน์จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ลดลง และต้นทุนการเงินที่ลดลง ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นที่ได้อานิสงส์จากภาวะเศรษฐกิจโลกเติบโต คือหุ้นที่มีธุรกิจในต่างประเทศ มีการค้าขายหรือส่งออกไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะบริษัทที่มีต้นทุนหรือหนี้สินที่เป็นเงินสกุลต่างประเทศ เช่น หุ้นพลังงาน หุ้นในกลุ่มส่งออก หุ้นกลุ่มท่องเที่ยว หุ้นกลุ่มโรงพยาบาล

ด้านตลาดหุ้นวันที่ 7 พ.ค.67 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับขึ้นตามตลาดต่างประเทศ ปิดที่ระดับ 1,376.34 จุด เพิ่มขึ้น 6.45 จุด หรือ +0.47% มูลค่าซื้อขาย 41,707.49 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 1,796.52 ล้านบาท และบัญชีหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 596.22 บาท และสถาบันซื้อสุทธิ 538.07 ล้านบาท ด้านนักลงทุนไทยขายสุทธิ 2,930.81 ล้านบาท

นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.กรุงศรี กล่าวว่า ตลาดหุ้นวันนี้ปรับตัวขึ้นได้ดี ตอบรับอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) สหรัฐที่ปรับตัวลงหลังมีสัญญาณบ่งชี้เงินเฟ้อสหรัฐจะผ่อนคลายลงได้ เศรษฐกิจมีสัญญาณ Soft Landing จากการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐอ่อนตัวลง และจำนวนนักท่องเที่ยวก็เร่งตัวขึ้นใน 4 เดือนแรกของปีนี้ เป็นภาพบวกให้กับกลุ่มท่องเที่ยว

อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ หลังได้ครม.ชุดใหม่ ซึ่งในช่วง 4-5 เดือนนี้จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้มากแค่ไหน ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียวันนี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ ส่วนตลาดในยุโรปเทรดบ่ายนี้เคลื่อนไหวในแดนบวก

แนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (8 พ.ค.) ตลาดยังมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นได้ โดยให้แนวรับ 1,375 จุด แนวต้าน 1,385 จุด